Ice Princess... ความรักของเจ้าหญิงน้ำแข็ง - Ice Princess... ความรักของเจ้าหญิงน้ำแข็ง นิยาย Ice Princess... ความรักของเจ้าหญิงน้ำแข็ง : Dek-D.com - Writer

    Ice Princess... ความรักของเจ้าหญิงน้ำแข็ง

    ฉันคือเจ้าหญิงน้ำแข็ง... ผู้หญิงเย็นชาแสนเพอร์เฟกต์ที่หักอกผู้ชายเล่นเป็นงานอดิเรก นั่นคือฉายาของฉัน... ฉายาที่ฉันไม่เคยคิดอยากได้เลยสักนิด...

    ผู้เข้าชมรวม

    470

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    470

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 มิ.ย. 55 / 23:12 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น


    เรื่องสั้นเรื่องที่สองค่ะ  แต่งจากอารมณ์และความรู้สึก  ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ :)


    รบกวนแวะคอมเม้นสักนิดเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยค่ะ


    หวังว่าคงจะชอบกันนะคะ





    ...[ความฝันปีกขาว]...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ



      ฉันคือเจ้าหญิงน้ำแข็ง... ผู้หญิงเย็นชาแสนเพอร์เฟกต์ที่หักอกผู้ชายเล่นเป็นงานอดิเรก

      นั่นคือฉายาของฉัน... ฉายาที่ฉันไม่เคยคิดอยากได้เลยสักนิด

      ไม่อยากได้... เพราะความเป็นจริง... ฉันก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง... ที่ซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเองมากเกินไปก็เท่านั้น...

       

      “ไฮ แกล” เมย์... หนึ่งในสองของเพื่อนสนิทของฉันร้องทักขึ้นในขณะที่ฉันกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะหินอ่อนในมหาวิทยาลัย ฉันพยักหน้าพร้อมยิ้มเรียบๆ เป็นเชิงรับรู้การมีตัวตนของหล่อนก่อนจะก้มหน้าลงอย่างไม่ใส่ใจที่จะไยดีอะไรหล่อนอีก

      “แกล เมื่อกี้ยัยมูนโทรมาบอกฉันว่าเดี๋ยวจะพาเพื่อนของพี่ไมล์มาด้วยคนนึงนะ อาจจะเข้ามาช้าหน่อย ฝากขอโทษเธอด้วย” เมย์เดินมานั่งลงตรงข้ามฉัน ก่อนจะเอ่ยถึงเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งที่ยังมาไม่ถึงทั้งที่เลยเวลานัดไปห้านาทีแล้ว

      ฉัน เมย์ และมูนรู้จักกันมาตั้งแต่ฉันเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่กี่วัน เมย์กับมูนเป็นคนน่ารัก ฉันเองยังจำได้ถึงวันแรกที่เมย์เดินเข้ามาทักฉันที่มักจะนั่งอยู่คนเดียวอยู่เสมอๆ ด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับที่มูนก็เดินมาชวนฉันให้ไปนั่งทานข้าวด้วยกัน วันนั้น...เป็นวันแรกที่ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเย็นชาที่สุดอย่างฉันมีคนนั่งกินข้าวด้วย และหลังจากนั้นไม่นาน... เราสามคนก็กลายมาเป็นสามใบเถาไปไหนไปกันอยู่เสมอๆ แต่สิ่งที่ฉันซาบซึ้งใจที่สุดในตัวของเพื่อนสนิททั้งสองคนนี้... ก็คือพวกเขาเข้าใจฉัน เข้าใจในนิสัยที่ไม่เหมือนใครของฉัน และพวกเขาก็ไม่รังเกียจที่จะยอมรับ และเป็นเพื่อนกับผู้หญิงที่แสดงออกทางอารมณ์ไม่เป็นอย่างฉัน

      ฉันพยักหน้ารับคำพูดนั้นช้าๆ ด้วยใบหน้าเรียบเฉย และไม่นาน...บรรยากาศระหว่างเราสองคนก็ถูกปกคลุมด้วยความเงียบ ฉันเงียบ เมย์เองก็เงียบ หล่อนเองเหมือนจะชินเสียแล้วกับนิสัยนี้ของฉันจึงไม่คิดชวนคุยให้เมื่อยแต่อย่างใด เพียงแค่ให้ฉันนั่งจดบันทึกข้อมูลที่ต้องใช้ในการทำรายงานต่อไปเงียบๆ ไม่กี่นาทีต่อมามูนก็มาถึงพร้อมบ่นกระปอดกระแปดถึงสภาวะการจราจรที่เข้าใกล้อัมพาตของกรุงเทพฯ ฉันเงยหน้ามองหล่อนแวบหนึ่งก่อนจะก้มหน้ามองหน้ากระดาษสมุดและจรดปากกาโน้ตย่อต่อไปโดยไม่ทันได้เห็นชายหนุ่มร่างสูงที่ก้าวเดินตามมูนมาใกล้ๆ

      ฉันจดบันทึกต่อไปอย่างไม่รับรู้ถึงร่างบางๆ ของเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนที่จะต้องขมวดคิ้วด้วยความขัดใจเมื่อยางลบก้อนหนึ่งกลิ้งหลุนๆ จากสมุดรายงานของฉันตกลงไปที่พื้น และขณะที่ฉันก้มหน้าลงเพื่อเก็บยางลบนั้นเอง... รองเท้าหนังสีดำมันปลาบของใครสักคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ดึงดูดความสนใจจากฉัน

      ...ใครกันนะ... หรือจะเป็นเพื่อนพี่ไมล์ที่ยัยเมย์บอกเมื่อกี้

      พี่ไมล์เป็นพี่ชายแท้ๆ ของมูน พี่ชายสุดหล่อที่สาวๆ กรี๊ดกันทั่วมหาวิทยาลัย ถึงแม้ว่าพี่ไมล์จะเรียนจบไปเมื่อปีที่แล้ว แต่ผู้หญิงที่เคยเห็นหน้าพี่ไมล์ก็ยังคงหลงละเมอเพ้อพกถึงเขาอยู่เสมอๆ บางทีฉันก็ขำๆ นะตอนเห็นอาการของยัยพวกนั้น... ก็ภาพพจน์ผู้ชายแสนสุภาพของพี่ไมล์เวลาอยู่ต่อหน้าสาวๆ มักจะกลายเป็นผู้ชายกวนประสาทขี้แกล้งเวลาอยู่ต่อหน้าน้องๆ ทุกทีเลยสิน่า

      ฉันเอื้อมมือหยิบยางลบที่ตกอยู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ และทันทีที่ฉันเห็นหน้าเขาได้ชัด... ก็เหมือนลมหายใจจะชะงักขาดห้วงไปในทันใด

      ...ใครกันนะ... ทำไมฉันถึงได้คุ้นหน้าเขาถึงขนาดนี้...

      ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่นั่งอยู่ตรงข้ามกับฉัน ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรรับกับกลุ่มเส้นผมสีดำสนิทดูยุ่งนิดๆ ที่ถูกบรรจงซอยมาจนยาวระต้นคอ ผิวขาวจนเกือบจะซีดแม้จะตัดกับสีของเส้นผม แต่กลับทำให้ใบหน้านั้นดูลงตัวอย่างประหลาด คิ้วหนาพาดเฉียงอยู่เหนือนัยน์ตาเรียวรีสีน้ำตาลเข้มราวกับสีของเปลือกไม้ จมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากบางเฉียบสีชมพูอ่อนๆ อย่างคนสุขภาพดี เครื่องหน้าทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้... ไม่แปลกใจเลยหากจะมีใครบอกฉันว่าเขาคนนี้เป็นที่ต้องตาต้องใจของเพศตรงข้ามมากมายขนาดไหน

      และเหมือนเขาจะรู้ว่าถูกจ้อง เพราะนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคู่คมเบือนมาสบกับตาของฉันทันที...

      ราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน... นัยน์ตาคู่นั้น กับแววตาที่ทำให้ฉันนิ่งตะลึงราวกับคนไร้สติ แววตา...ที่เหมือนกับจะกล่าวกับฉันว่า

      จำได้...ฉันจำเธอได้เสมอ...

      อะไรกันเนี่ย... ไม่เห็นจะยุติธรรมเลยสักนิด... เพราะคนที่ลืมไปจนหมดไม่มีเหลือแม้แต่สักเศษเสี้ยวของความทรงจำก็คือฉันเอง!!!

       

      “แกล นี่เพื่อนพี่ไมล์นะ ชื่ออาร์ อาร์เรียนอยู่คณะบริหาร ปีเดียวกับเราเนี่ยแหละ อาร์คะ นี่เพื่อนสนิทมูนเองค่ะ แกลกับเมย์” เสียงหวานๆ ของมูนดังขึ้นมากระชากสติที่หลุดลอยไปของฉันกลับคืนมา ฉันเปลี่ยนสีหน้ากลับไปเป็นเรียบนิ่งอย่างเดิมแม้ว่าความสงสัยจะยังท่วมท้นอยู่เต็มอกก็ตาม ฉันเบือนสายตาหลบจากนัยน์ตาสีราวเปลือกไม้คู่คุ้นที่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นมาจากไหนก่อนที่จะพยายามทุ่มเทความสนใจไปยังสมุดรายงานตรงหน้าต่อ

      อ้าว แกล เป็นอะไรไปล่ะเนี่ย มือสั่นเชียว

      เสียงทักจากเมย์ทำให้ฉันต้องกระพริบตาปริบด้วยความงุนงงชั่วครู่ก่อนที่จะก้มหน้าลงดูมือของตัวเอง ถูกของยัยเมย์... ตอนนี้มือที่จับปากกาของฉันสั่นริกๆ อย่างไร้เหตุผล ไม่สิ... คงไม่ไร้เหตุผล เพราะ ตัวต้นเหตุกำลังนั่งอมยิ้มนัยน์ตาพราวอยู่ตรงหน้าฉันนี่เอง

      ...ให้ตายสิ! เจ้าหญิงน้ำแข็งอย่างฉัน... มือสั่นเพราะผู้ชายที่เพิ่งจะเจอหน้ากันยังไม่ทันถึงห้านาทีเนี่ยนะ!!

      ฉันกำด้ามปากกาแน่นจนข้อนิ้วเปลี่ยนเป็นสีขาว เกลื่อนอาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในหัวอก ก่อนจะหันไปตอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งอันเป็นเอกลักษณ์

      เปล่าหรอก สงสัยเขียนหนังสือนานไปหน่อย มือเลยล้าน่ะ

      เมย์มองมาทางฉันอย่างเป็นห่วงเป็นใย ถ้าเมื่อยมาก ให้ฉันเขียนแทนก็ได้นะแกล ยังไงเราก็กลุ่มเดียวกันนะ

      ฉันส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับยิ้มบางๆ ให้หล่อน

      ไม่เป็นไรหรอก ให้เราเขียนเองดีกว่า เพราะเดี๋ยวยังไงเราก็ต้องไปอ่านใหม่อยู่ดี

      ยัยเมย์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะหันไปผูกมิตรกับผู้มาใหม่ที่ตอนนี้กำลังนั่งซุบซิบงุบงิบคุยกันสองคนกับยัยมูนอย่างหวังจะร่วมสนทนาด้วย

      ฉันพยายามควบคุมมือไม้และจิตใจที่สั่นไหวทุกครั้งเมื่อสายตาเผลอเบือนไปสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคู่คมของคนตรงหน้า นัยน์ตาที่จับจ้องมาทางฉันอย่างไม่กระพริบแม้ปากจะคุยอยู่กับคนอื่น!

      ฉันปรับอารมณ์ตัวเองให้เข้าสู่โหมดจริงจังก่อนที่จะเรียกเพื่อนซี้ทั้งสองให้กลับเข้ามาสู่วังวนแห่งวิชาการ หวังรีบทำให้เสร็จเพื่อที่ว่าฉันจะได้ไปให้พ้นจากสายตาคมๆ ที่มองจ้องฉันอยู่ตลอดนี้เสียที

       

      อืม งั้นสรุปว่าเดี๋ยวเมย์รับผิดชอบเรื่องตัวอย่างทดลองนะ ส่วนมูน ลองตกลงกับอาจารย์เรื่องการใช้ห้องแล็บนอกเวลาดูนะ เดี๋ยวฉันจัดการเรื่องข้อมูลเพิ่มเติมเอง

      ฉันเอ่ยสรุป ก่อนที่จะจัดเก็บกระดาษที่วางอยู่ระเกะระกะตรงหน้าให้เข้าที่ ทั้งสองคนพยักหน้ารับคำ ก่อนที่เมย์จะโอดครวญขึ้นมา

      โอย... หิวจังเลย แกลจ๋า เมย์ว่าเราแวะไปหาอะไรทานกันก่อนไปเรียนดีมั้ย เมย์หิวจนไส้จะขาดแล้ว

      ฉันขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะเบือนหน้าไปมองนาฬิกาเรือนงามที่อยู่บนข้อมือ

      ...ให้ตาย... เที่ยงครึ่งแล้วเหรอเนี่ย... นี่เรานั่งประชุมกันมาเกือบสามชั่วโมงแล้วเหรอ

      นะๆๆ แกลจ๋า แกลสุดสวย ไปทานข้าวกันก่อนน้า เมย์ยังไม่อยากตาลายเห็นหน้าอาจารย์ปลาดุกเป็นปลาดุกย่างจริงๆ หรอกน้า

      ฉันอมยิ้มกับสรรพนามที่เมย์ใช้เรียกชื่ออาจารย์ประจำวิชาปรสิตวิทยาที่มีหน้าเหมือนปลาดุก ก่อนจะพยักหน้าอย่างจำยอม

      อื้อ

      และปฏิกริยาเพียงเท่านั้นมันก็เพียงพอแล้วที่จะให้เพื่อนที่คบกันมานานแสนนานอย่างเจ้าสองตัวนี้รู้ถึงการตัดสินใจของฉัน เพราะเมย์กับมูนร้องเย้! ขึ้นมาพร้อมกัน

      ฉันส่ายหัวอย่างอ่อนใจก่อนที่จะก้มลงเก็บเอกสารชินสุดท้ายลงกระเป๋า พร้อมกับรูดซิปปิดเรียบร้อย แต่แล้วฉันก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาเมื่อรู้สึกได้ถึงประกายตาอ่อนโยนที่จ้องมองมาของคนตรงหน้า และรอยยิ้มบางๆ ที่ติดอยู่ที่ริมฝีปาก จนฉันต้องเสหันไปมองทางอื่นอย่างทำเป็นไม่สนใจ ทั้งๆ ที่ในใจของฉันกำลังเต้นรัวจนแทบคลั่ง

      อาร์ล่ะ หิวหรือยัง จะกลับเลยหรือเปล่า จะไปกินข้าวกับพวกเราก่อนมั้ย มูนหันไปถามคู่หูของเธอด้วยน้ำเสียงห่วงใยที่ทำให้ฉันรู้สึกแปลบปร่าในใจชอบกล ฉันเงยหน้าขึ้นมองดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ที่อยู่บนต้นเหนือศีรษะของฉันก่อนจะแค่นยิ้มออกมา

      ...เฮอะ... ดูท่าทางคงจะไม่ใช่แค่เพื่อนพี่ไมล์อย่างที่บอกแล้วล่ะมั้ง

      ฉันลุกขึ้นออกจากโต๊ะอย่างพยายามไม่สนใจอะไร ...เขาจะเป็นอะไรกันก็เรื่องของเขาสิ ไม่เกี่ยวกับเราสักหน่อยนี่นายัยแกล

       

      นี่ ยัยแกล ได้ข่าวมีหนุ่มมาตามตื๊อเหรอยะ ยัยเมย์เอ่ยขึ้นทามกลางวงอาหาร ฉันขมวดคิ้วกับคำพูดของหล่อนนิดหนึ่ง

      ใคร ถามสั้นๆ อย่างไม่สนใจนัก

      แบงค์ไง คำตอบพร้อมรอยยิ้มล้อเลียนดังมาจากเจ้าของบทสนทนา

      แบงค์ไหน

      เมย์ส่ายหน้ากับความขี้ลืมของฉันก่อนที่หล่อนจะเอ่ยอธิบายเพิ่มเติม แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันนึกอะไรออกเลยแม้แต่นิด จนในที่สุดฉันก็ต้องส่ายหน้าออกมาเป็นเชิงยอมแพ้

      แบงค์ หนุ่มหล่อคณะวิศวะไง อะไรกันยะยัยแกล นี่เธอมีคนจีบมากเสียจนจำใครไม่ได้เลยหรือไงกัน

      ใบหน้าคมเข้มของคนชื่อแบงค์ผุดขึ้นมาจากความทรงจำ อืม...นั่นสิ ทำไมฉันถึงจำเขาไม่ได้กันนะ ในเมื่อเขาคอยมาตามก้อร่อก้อติกฉันมาได้เกือบสัปดาห์แล้ว ฉันยิ้มออกมาเจื่อนๆ

      โทษที ฉัน...จำไม่ได้

      จบคำพูดของฉันก็มีเสียงหัวเราะหึหึในลำคอประสานกับเสียงหัวเราะใสๆ ของเพื่อนสาวสองคนของฉัน ฉันเหลือบมองเจ้าของเสียงตรงหน้าเพื่อที่จะพบกับประกายตาระยับและรอยยิ้มอ่อนโยนที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากของเขา จนฉันรู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวที่แล่นริ้วขึ้นมาบนนวลแก้มและต้องเผลอหลบสายตาโดยไม่รู้ตัว

      เฮ้อ เธอก็เป็นซะอย่างนี้ล่ะนะยัยแกล ผู้ชายเข้ามากี่คนๆ ก็เชิดใส่ไม่ใส่ใจไปซะทุกคน จนแทบจะไม่มีใครกล้าเข้าหาเธอแล้วเนี่ย

      ถูกของยัยมูน ด้วยความที่ฉันเป็นคนสวย (ฉันไม่ได้หลงตัวเองจริงๆ นะ รับรองได้ >_<) ทำให้มีผู้ชายมากหน้าหลายตาพากันวนเวียนเข้ามาในชีวิตของฉัน ซึ่งพวกเขาก็จะถูกความเฉยชาของฉันกระแทกใส่จนเริ่มฝ่อไปทีละรายสองราย และนายแบงค์นี่ก็เป็นหนึ่งในจำนวนคนเหล่านั้นที่หาญกล้าเข้ามาจีบฉัน และแน่นอน...ว่านายนั่นก็โดนฉันตะเพิดหน้านิ่งไปอย่างไม่ไยดีเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

      เพียงแต่ว่านายแบงค์ยังคงไม่ละความพยายามไปก็เท่านั้น... เพราะแม้จะโดนฉันปฏิเสธไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาก็ยังคงตามตื๊อฉันอยู่

      ฉันยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก ก็ฉันไม่ได้ชอบพวกเขานี่ เลยไม่รู้ว่าจะให้ความหวังไปทำไม

      เธอก็พูดอย่างนี้ทุกที... แล้วเมื่อไหร่จะเจอรักจริงสักทีล่ะยะ

      ฉันเบ้ปาก ...ไม่เห็นจะอยากได้เลยสักนิด ไอ้ความรักเนี่ย

      แบงค์ คณะวิศวะเหรอ เสียงทุ้มห้าวเอ่ยขึ้นขัดจังหวะความคิดไร้สาระของฉัน คนนี้มีกิตติศัพท์เกี่ยวกับผู้หญิงเยอะเหมือนกันนะ ยังไงระวังตัวไว้ก็ดี

      เขาเอ่ยกับฉันอย่างห่วงใย จนฉันต้องก้มหน้าหลบสายตาที่แฝงความหมายลึกซึ้งของเขา

      ใช่ๆ เมย์ก็ได้ข่าวมาเหมือนกันนะแกล แบงค์น่ะเสือผู้หญิงจะตาย ยังไงแกลก็ระวังตัวไว้แล้วกันนะ

      ฉันยิ้มเป็นเชิงให้ความมั่นใจกับคำพูดห่วงใยของเพื่อน ก่อนที่จะลุกเดินออกไปซื้อน้ำโกโก้ปั่นเจ้าประจำ  และทันทีที่ป้าโมเจ้าของร้านเห็นหน้าฉัน หล่อนก็ยิ้มแป้นทักทายอย่างคุ้นเคย ซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นรอยยิ้มเรียบๆ ของฉันกลับไปเช่นกัน

      แต่ก่อนที่ฉันจะได้สั่งอะไรออกไป เสียงทุ้มนุ่มของผู้ชายก็ดังมาจากทางด้านหลังของฉันเสียก่อน

      ขอโกโก้ปั่นไม่หวานมาก ราดหน้าด้วยวิปครีม โรยไอซ์ซิ่งช็อคโกแลต กับกาแฟเย็นอย่างละแก้วครับ

      ฉันขมวดคิ้วกับรายการที่เขาสั่งจนต้องเบือนสายตาไปมองคนสั่ง และก็ต้องแปลกใจ... เมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่เจนตาแม้จะเพิ่งได้เห็นเพียงแค่ไม่นานลอยอยู่เบื้องหน้า

      ความแปลกใจที่เขาเดินตามฉันมายังไม่เท่ากับความแปลกใจในรายการเครื่องดื่มที่เขาสั่ง... เพราะโกโก้เย็นแบบนั้น... แบบที่เขาสั่งพอดีเป๊ะ... คือเมนูเครื่องดื่มโปรดของฉันที่ฉันมักจะสั่งทุกครั้งไม่ว่าจะไปทานอาหารที่ไหนก็ตาม

      และเหมือนฉันจะคิดอะไรนานไปหน่อย เพราะเผลอแปปเดียว โกโก้ปั่นแก้วนั้นก็มาลอยอยู่ตรงหน้าฉันพอดิบพอดี

      นี่ครับ อาร์พูดพร้อมรอยยิ้ม โกโก้ของแกล

      ฉันนิ่งอึ้งกับคำพูดของเขา ตะลึงจนไม่สามารถควบคุมมือให้เอื้อมไปหยิบโกโก้แก้วนั้นได้

      ...เขารู้... รู้ได้อย่างไรว่าฉันชอบกินโกโก้แบบไหน

      ...แล้วแสดงว่าที่เขาสั่งนี่... เขาสั่งมาเพื่อฉันอย่างนั้นเหรอ...

      และเหมือนว่าฉันจะนั่งตะลึงนานเกินไป เพราะอาร์เอื้อมมือมาจับมือฉันแบออกและวางโกโก้เย็นเฉียบลงบนมือของฉัน ฉันสะดุ้งกับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงกระทันหันจนเผลอสะบัดมือ ทิ้งแต่โชคยังดีที่อาร์จับมือฉันไว้แน่นพอที่จะควบคุมโกโก้แก้วนั้นไม่ให้หล่นลงไปราดพื้นได้ ก่อนที่เขาจะใช้มือแข็งแรงบังคับนิ้วทั้งห้าของฉันให้กำรอบโกโก้แก้วนั้นอย่างมั่นคง

      รับไปเถอะครับ... ถือเสียว่าเป็นการเริ่มต้นมิตรภาพ ครั้งใหม่ของเราสองคนก็แล้วกัน

       

      ...โอย...เหนื่อยจัง

      ฉันหอบหิ้วของพะรุงพะรังเข้ามาในห้องของตัวเอง ห้องพักที่ฉันอยู่เป็นหนึ่งในห้องชุดสุดหรูของคอนโดหรูใจกลางเมืองกรุงซึ่งพ่อกับแม่ฉันซื้อทิ้งไว้ให้ก่อนที่ท่านทั้งสองจะไปทำงานที่อังกฤษ ครอบครัวเราอยู่อังกฤษกันทั้งครอบครัว จะมีก็เพียงแต่ฉันกับตาอชิ...ลูกพี่ลูกน้องจอมดื้อแพ่งของฉันเท่านั้นที่ไม่ยอมย้ายไปอังกฤษตามคำสั่งของแม่ ก็ช่วยไม่ได้นี่นา... ในเมื่อฉันรักเมืองไทยออกจะขนาดนี้ แล้วจะให้ฉันย้ายไปอยู่ไหนได้อีก

      นายอชิ... พี่ชายจอมดื้อแพ่งของฉันทำหน้านิ่วค้นอะไรกุกกักอยู่ในห้องครัว ฉันเหลือบมองเขาอย่างไม่สนใจอะไรนักก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาหนานุ่มแสนสบาย

      ภาพความทรงจำวันนี้รวมถึงนัยน์ตาสีราวเปลือกของต้นไม้ที่ทอประกายอ่อนโยนของใครบางคนจะผุดวาบขึ้นมาจากความทรงจำ ฉันยกมือขึ้นปิดหน้า ก่อนจะสะบัดศีรษะไปมาเพื่อหวังขับไล่ภาพนั้นออกไปจากสมอง แต่ราวกับจะสายเกินไป... เพราะดวงหน้าคมสันของคนคนนั้นได้ประทับฝังแน่นแนบสนิทอยู่ไม่คลาย

      ยัยแกล มานอนอืดอะไรอยู่แถวนี้ มาช่วยหาเขียงหน่อยสิ วันนี้อุตส่าห์นึกครึ้มทำกับข้าวซักที

      ฉันเบ้ปากอย่างหมั่นไส้

      ...ตาอชิบ้า... ทีพูดกับน้องสาว (เกือบ) แท้นี่สั่งได้สั่งดี ทีพูดกับยัยน้องอุปโลกน์อย่างยัยอาคี แม่สาวหวานประจำคณะแพทยศาสตร์นี่ออดอ้อนออเซาะเอาอกเอาใจราวกับชีวิตนี้พร้อมจะประเคนทุกอย่างให้เพื่อหล่อน เจ็บใจโว้ยยย

      ไม่เอา ปวดหัว ฉันเอนตัวลงนอนเหยียดยาวบนโซฟาก่อนจะหลับตาลงอย่างตัดรำคาญ แต่ตาอชิบ้าก็ยังไม่ยอมให้ฉันไปสบาย (?) ง่ายๆ เพราะพี่ท่านเล่นลากตัวฉันออกมาจากที่นอนอันแสนสุข แล้วบังคับฉันที่กำลังหน้าคว่ำจนแทบจะหกล้มหกลุกให้ไปทอดไข่เจียว ขณะที่ตัวเองเดินมุ่งหน้าเข้าไปหาปังตอพร้อมเขียงเตรียมสับหมู

      “วันนี้ทำไมกลับเร็วได้ล่ะ”

      ฉันถามในขณะที่เทน้ำมันลงไปในกระทะที่ตั้งไฟแล้ว ก็แหม... ปกติพี่ชายจอมป่วนของฉันเคยกลับบ้านก่อนสามทุ่มเสียที่ไหนล่ะ อย่างน้อยๆ ต้องไปนั่งเล่นขอฝากท้องอยู่ที่คฤหาสน์สวัสดิ์โสภณของแม่คุณหนูอาคีนั่นก่อน แต่วันนี้ตาอชิเล่นกลับมาบ้านตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดินดีแบบนี้... มันทำให้ฉันเริ่มคิดว่าคงจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพี่ชายที่อ่อนโยน (?) อยู่เสมอคนนี้

      “ก็แค่เซ็ง” นายอชิยักไหล่ ถึงแม้ว่าเขาจะเกิดก่อนฉันจนได้ศักดิ์เป็นพี่ชาย แต่ก็เกิดก่อนเพียงแค่สองเดือน ซ้ำเรายังสนิทกันจนฉันไม่จำเป็นต้องเรียกนำหน้าเขาว่าพี่ (และถึงฉันอยากเรียก หมอนี่ก็คงไม่ให้ฉันเรียกหรอก ก็แหม...ใครกันจะไปอยากแก่ จริงไหมคะ)

      “เซ็งอะไรล่ะ หนูน้อยของนายมีแฟนหรือไง” ว่าพลางตอกไข่ใส่กระทะหลังจากน้ำมันเดือดได้ที่แล้ว และท่าทางฉันจะเดาถูกแฮะ เพราะนายอชิเงียบไปทันที

      “คงงั้นล่ะมั้ง” เขาตอบเรียบๆ มีรอยเจ็บช้ำจางๆ เจืออยู่ในน้ำเสียง “อาคีไปกับคนอื่น”

      ฉันนิ่งอึ้งไป ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เฮ้อ... ฉันก็ว่าแล้วว่าสักวันวันนี้ต้องมาถึง อชิตามแม่หนูนั่นเกินไป ทั้งยังออดอ้อนอ่อนหวานเอาอกเอาใจสารพัด ไม่แปลกหรอกที่หล่อนจะมองเห็นเขาเป็นของตายจนไม่เคยมองเห็นค่าของเขาแบบนี้

      “เอาน่า บางทีนายอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้นะอชิ บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรอย่างที่นายคิดก็ได้” ฉันเอ่ยปลอบเขา ก่อนที่จะใช้ตะหลิวพลิกไข่ในกระทะกลับด้าน กลิ่นไข่เจียวหอมฉุยลอยมากระทบจมูกจนฉันต้องสูดกลิ่นฟุดฟิดๆ ท้องร้องจ๊อกๆ ด้วยความหิว

      “ฮึ” อชิแค่นยิ้มขมขื่นแบบที่ฉันไม่เคยเห็นบนใบหน้าของลูกพี่ลูกน้องคนนี้เลยสักนิด “ถ้าไม่มีอะไรทำไมถึงต้องเปิดโอกาสให้มันขนาดนั้นกันล่ะ วันก่อนก็ให้มันมาส่งที่บ้าน วันนี้มันก็ไปดักรอถึงมหาลัย แล้วยังยินยอมตามเขาทุกอย่าง ชวนไปกินข้าวสองต่อสองก็ไปไม่เคยปฏิเสธ ไม่มีแม้แต่จะคิดถึงความรู้สึกของคนคนนี้... คนที่คอยดูแลห่วงใยใส่ใจรับส่งตลอดห้าปีที่ผ่านมาเลยสักนิด แล้วเธอจะให้ฉันคิดยังไงกันล่ะแกล”

      ฉันมองหน้าเขาอย่างเห็นใจ “เจ็บมากนัก...งั้นก็เลิกชอบซะสิ”

      “เฮอะ” อชิพ่นลมพรืดออกจากจมูก “เจ้าหญิงน้ำแข็งที่ไม่เคยรักใครอย่างเธอจะไปรู้อะไร”

      ฉันนั่งอึ้งไป นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มลอยแวบเข้ามาในหัวก่อนที่ฉันจะปัดมันออกไปจากสมอง ปั้นน้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมกับยักไหล่เหมือนไม่สนใจ

      “ไม่เห็นจะอยากมีเลย ไอ้ฟง...แฟนเนี่ย มีความรักทีไรก็มีความทุกข์ตามมาทุกที”

      “แต่นั่นก็รสชาติชีวิตคนไม่ใช่เหรอ” นายอชิย้อนกลับมาเป็นปรัชญา “มันไม่มีใครที่จะมีความสุขไปได้ทุกอย่างหรอกนะแกล”

      ฉันนิ่งอึ้งไป... หมอนี่... หมอนี่รู้... พี่ชายที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะล่วงรู้หรือแม้แต่จะสนใจต่อความรู้สึกของฉันสามารถล่วงรู้ความคิดความกังวลของฉันที่เกี่ยวกับความรักได้ ใช่...ฉันยอมรับว่าเหตุผลหนึ่งที่ฉันไม่เคยมีแฟนหรือไม่เคยแม้แต่จะเปิดใจให้ใครเพราะฉันกลัว... กลัวว่าวันหนึ่งตนเองจะต้องผจญกับความรู้สึกเจ็บปวดเจียนตาย กลัวความรู้สึกของการถูกทอดทิ้งราวกับคนไม่มีค่า หากเป็นเช่นนั้น...ฉันยอมอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปเลยจะไม่เป็นการดีกว่าเหรอ...

      ฉันหัวเราะฝืนๆ “นายพูดเหมือนนายไม่รู้สึกเจ็บกับมันเลยนะอชิ”

      “ก็เจ็บน่ะสิ” เขาเอ่ยเบาๆ “แต่ความรักมันก็ไม่ได้แย่ไปซะทั้งหมดหรอกนะแกล แม้ฉันจะเจ็บ...แต่ฉันก็มีความสุขกับมัน ดีกว่าที่จะอยู่อย่างแห้งเหี่ยวไร้ชีวิตชีวาราวกับต้นหญ้าขาดน้ำ ไร้ซึ่งสีสันในชีวิตใดๆ เธอลองเปิดใจตัวเองสัมผัสกับมันสักครั้งดูสิแกล แล้วเธอจะรู้...ว่ารสชาติของความขมที่เจือไปด้วยความหวานล้ำติดความรู้สึกน่ะมันกลมกล่อมแค่ไหน”

       

      ...ความรักเหรอ...

      ฉันนอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืด สมองยังคงครุ่นคิดถึงคำที่พี่ชายตัวดีของฉันเอ่ยออกมา

      ...ความรักมันมีอานุภาพขนาดไหนกันนะ ถึงได้ทำให้คนที่ทุกข์ตรมกับมันมากมายอย่างนายอชิถึงกับยืดอกยอมรับและภูมิใจกับความเจ็บปวดนั้น...ภูมิใจ...กับความรักที่ไม่สมหวังของตน

      ...แล้วตัวฉันล่ะ... ฉันควรจะเปิดใจของฉันให้สัมผัสกับความรักแบบนั้นดีไหมนะ... ควรที่จะเปิดใจรับความเจ็บปวดที่กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แล้วหรือยัง

       

      ชีวิตของฉันดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันแล้ววันเล่าผ่านไปอย่างปกติธรรมดาที่สุด ยังคงมีผู้ชายมากมายที่เพียรจะเข้ามาตามตื๊อตามติดฉัน รวมถึงแบงค์ก็ด้วย เขายังคงเข้ามาวุ่นวายกับฉัน แม้ว่าจะโดนฉันตอกกลับไปจนหน้าหงายหลายรอบแล้วก็ตาม หลายครั้งที่ฉันเห็นดวงตาของแบงค์ที่มองมาทางฉันมีแววหลงใหลและคั่งแค้น... แต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะฉันไม่เคยรักแบงค์เลย... ไม่เคยและไม่คิดที่จะรัก

      กาลเวลาที่หมุนผ่านทำให้ฉันเกือบจะลืมเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่เคยพบกันเพียงแค่ครั้งเดียวไปเสียแล้ว ถ้าหากว่าจะไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น

      วันนั้นเป็นวันฝนตก ท้องฟ้ามืดครึ้มมาตั้งแต่เช้า แต่ก็ไม่รู้เพราะอะไรที่มันถึงไม่หยาดหยดลงมาเสียที จนเวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนเย็น...

      เย็นวันนั้นฉันต้องไปค้นคว้าที่หอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยเพื่อที่จะตรวจสอบความถูกต้องข้อมูลของรายงานเป็นครั้งสุดท้าย การทำงานทำให้ฉันลืมเวลาเสมอ และพอฉันรู้สึกตัวอีกที... เข็มสั้นของนาฬิกาก็ชี้ไปที่เลขเก้าเสียแล้ว

      ฉันรีบกระวีกระวาดเก็บของอย่างเร็วที่สุด ก่อนจะก้าวฉับๆ ออกมาจากห้องสมุดอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะไปยืมหนังสือเล่มหนาหนักที่ต้องเอาไปประกอบการทำรายงานในตอนเย็นด้วย

      และเหมือนพระเจ้าจะกลั่นแกล้ง... เมื่อฉันเดินออกไปจากห้องสมุดแล้วพบว่า... ตอนนี้ฝนตกหนักอย่างกับฟ้ารั่ว!!!

      ...ให้ตายสิ!!!... แล้วฉันจะกลับบ้านยังไงเนี่ย

      ฉันโอดครวญกับตัวเอง เหลียวซ้ายแลขวาเผื่อจะมีคนมีร่มให้ฉันติดอาศัยไปหน้ามหาวิทยาลัยด้วย แต่รอบข้างกลับว่างเปล่า ไร้ซึ่งผู้ใดที่ทำให้ฉันอุ่นใจเลยแม้สักนิด ความกลัวค่อยๆ คืบคลานมาหา บรรยากาศโดยรอบมืดสนิท แถมอุณหภูมิเย็นเฉียบยิ่งทำให้กายฉันสั่นสะท้าน

      ฉันหันหลังหวังจะเข้าไปหลบเม็ดฝนในห้องสมุด แต่ก็เจอกับบรรณารักษ์คนสุดท้ายที่กำลังเลื่อนประตูเหล็กปิดลงทับประตูกระจกใส หล่อนยิ้มให้ฉันพลางถามว่า

      “ยังไม่กลับอีกหรือจ๊ะหนู มันดึกแล้วนะ”

      ฉันยิ้มให้หล่อนนิดหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ หล่อนยิ้มให้ฉันอีกครั้งก่อนจะเลื่อนประตูเหล็กลงมาปิดกั้นการติดต่อระหว่างเราไปเสีย ยามเมื่อปราศจากแสงไฟสว่างโร่จากห้องสมุดแล้ว... บรรยากาศมันยิ่งวังเวงมากขึ้นหลายเท่า

      ฉันตัดสินใจยัดหนังสือเล่มหนาหนักใส่กระเป๋าก่อนจะก้าวออกไปท่ามกลางสายฝน ใจคิดเพียงแต่ว่าอย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าที่จะยืนบื้อเป็นยัยบ้าอยู่ตรงนี้และรอคอยโดยที่ยังไม่รู้ว่าสายฝนจะหยุดโปรยปรายลงมาจากฟ้าเมื่อไหร่

      สายฝนเย็นเยียบที่สาดเทลงมาตกต้องผิวกายทำให้ฉันตัวสั่นด้วยความเหน็บหนาว ฉันกอดกระเป๋าไว้แนบอกเอาตัวบังไว้หวังใจว่าหนังสือในกระเป๋าคงปลอดภัยจากสายฝนที่กำลังเผชิญอยู่ ฉันก้าวเดินออกมาเรื่อยๆ ท่ามกลางความมืดและบรรยากาศเงียบสงัดจนมาถึงหน้าคณะบริหารซึ่งเป็นทางผ่านระหว่างหอสมุดกลางกับทางไปยังประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัย แสงไฟสีส้มของรถคันหนึ่งส่องวาบมาเข้าตาฉันแวบๆ ก่อนที่ฉันจะก้าวหลบเมอร์ซิเดสสีบรอนซ์ที่กำลังบึ่งทะยานมาทางฉันได้อย่างเฉียดฉิว

      ทันทีที่รถขับผ่านฉันไป มันเป็นจังหวะที่ฉันหันไปมองทางคนขับนิ่ง แสงไฟหน้ารถที่สาดส่องมากระทบร่างของฉันทำให้เกินเงาทิ้งตัวบนพื้นด้านหน้ารถ และเหมือนคนขับจะสังเกตเห็น เพราะเขาหันใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหน้าหล่อเหลามาทางฉันอย่างแปลกใจ และทันใดที่สายตาของเราสบกัน...อีกครั้งที่ฉันรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นกราดไปทั่วร่าง

      เสียงห้ามล้อดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่รถคันนั้นจะจอดสนิทลงเบื้องหน้าฉันเล็กน้อย กระจกรถฝั่งซ้ายมือของคนขับถูกเลื่อนเปิดลงมาพร้อมๆ กับเจ้าของรถที่เอี้ยวตัวมาพูดกับฉัน คิ้วหนาที่พาดเฉียงเหนือดวงตาสีน้ำตาลเข้มถูกขมวดจนกลายเป็นโบ

      “แกล?” เขาเรียกชื่อฉันอย่างไม่อยากเชื่อ “ทำไมกลับบ้านเอาป่านนี้ แล้วนี่คุณจะกลับยังไง”

      “กลับเอง” ฉันตอบเรียบๆ มองจ้องเขาอย่างแปลกใจเล็กน้อย ยอมรับว่ารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นหน้าเขาที่ไหนมาก่อนแต่นึกไม่ออก เจ้าของรถยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมเมื่อได้ฟังคำตอบของฉัน

      “งั้นขึ้นรถมา เดี๋ยวผมไปส่ง” เขาสั่งเสียงเฉียบที่ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ

      ...ตาบ้านี่เป็นใคร มีสิทธิอะไรถึงได้มาสั่งฉัน

      “ไม่เป็นไร ขอบคุณ ฉันกลับเองได้” ฉันเอ่ยปฏิเสธเสียงเย็นพร้อมกับเดินเร็วๆ ออกไปอย่างไม่ใส่ใจจะต่อความอีก

      “บัดซบ!” ฉันเห็นเขาสบถนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำตอบจากฉัน ก่อนร่างสูงๆ จะรีบเปิดประตูรถพร้อมกับสาวเท้าก้าวเร็วๆ อย่างไม่กลัวว่าตัวเองจะเปียกปอนเลยสักนิดมาดักหน้าฉันด้วยท่าทางหงุดหงิด “จะบ้าหรือไง ฝนตกหนักขนาดนี้จะกลับคนเดียวได้ยังไง”

      “มันเรื่องของฉัน” ฉันเอ่ยเสียงเรียบ นึกโมโหเล็กน้อยที่เขายังไม่เลิกตอแยกับฉันเสียที

      “ไม่ได้!!!” เขาเอ่ยเสียงเข้ม มือใหญ่กระชากตัวฉันพร้อมลากให้ไปทางรถ ฉันกรีดร้องออกมาเมื่อถูกแตะเนื้อต้องตัวอย่างไม่มีความปราณีใดๆ จากคนซึ่งฉันจำไม่ได้ว่าเคยรู้จักกัน เขาไม่ฟังเสียงฉันซ้ำยังเปิดประตูรถแล้วยัดฉันเข้าไปในรถอย่างแรง ฉันอาศัยจังหวะที่เขากำลังเดินอ้อมมาขึ้นรถฝั่งคนขับเปิดประตูออกไป หากก็ไม่ทัน แขนแข็งแรงเอื้อมมารวบตัวฉันให้กลับมานั่งที่เก่าพร้อมทั้งเอ่ยบ่นเสียงขุ่น

      “ให้มันได้อย่างนี้สิ!! ไม่เห็นยัยมูนเคยบอกเลยว่ามีเพื่อนฤทธิ์เยอะขนาดนี้เนี่ย”

      ฉันชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อได้ยินชื่อของเพื่อนสนิท สมองส่วนที่พิการเรื่องการจดจำคนพยายามเรียกความทรงจำที่เคยผ่านมาช้าๆ และเมื่อนึกออกฉันก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ

      “อาร์...ใช่ไหม?”

      เขามองฉันอย่างแปลกใจก่อนจะพยักหน้ารับ “ใช่... อย่าบอกนะว่าคุณจำไม่ได้”

      ฉันยิ้มเจื่อนๆ ...ที่แท้ก็แฟนยัยมูน โถ่... ก็ตอนเจอกันครั้งแรกเขาออกจะดูสุภาพน่ารัก แต่คราวนี้กลับกลายเป็นชายหนุ่มอารมณ์ร้ายแบบนี้... ใครล่ะจะไปจำได้

      ฉันนิ่งรอรับคำตะโกนด่าด้วยความหงุดหงิดของเขา แต่ปฏิกิริยาของเขากลับผิดคาด เพราะอาร์หัวเราะร่วน กลับกลายเป็นชายหนุ่มอารมณ์ดีคนนั้นที่ฉันเคยเจออีกครั้ง

      “ฮ่าๆ ถึงว่าว่าทำไมถึงทำราวกับไม่เคยรู้จักกัน เฮ้อ...ผมก็น่าจะรู้อยู่แล้วนะว่าแกลขี้ลืมขนาดไหน” เขาขยิบตาให้ฉันอย่างล้อๆ ก่อนจะพูดต่อ “ตอนนี้รู้แล้วแกลก็ไว้ใจผมได้แล้วนะครับ แค่นี้ผมก็เปียกพอแล้ว ขี้เกียจต้องวิ่งตามแกลให้เปียกไปมากกว่านี้อีก”

      ฉันหน้าแดง ค้อนขวับใส่เขา เอ่ยแก้ตัวเสียงอ่อย “ขอโทษ ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าเป็นนาย แถวนี้มันยิ่งมืดๆ อยู่ด้วย”

      เขายิ้มให้กับคำพูดของฉัน “ปิดประตูเถอะครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”

      ฉันมองหน้าอาร์อย่างลังเลเล็กน้อย มันทำให้เขาต้องมุ่นหัวคิ้วอย่างเริ่มจะหงุดหงินขึ้นมาอีกครั้ง

      “ทำไมครับ... หรือแกลไม่ไว้ใจผม”

      “เปล่านะ” ฉันเอ่ยปฏิเสธอย่างร้อนรน ก็แฟนเพื่อนสนิทฉันนี่จะไม่ไว้ใจได้ไงล่ะ “ฉันแค่เกรงใจ มันไม่ใช่ธุระของนายเลยสักนิด”

      เขาหัวเราะเมื่อได้ฟังคำตอบจากฉัน นิ้วเรียวยกมาเคาะศีรษะฉันเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว

      “คิดมากน่า” เขาดุฉันอย่างไม่จริงจังนัก “ไม่เป็นไรหรอก ผมเต็มใจ”

      สายตาอบอุ่นทอดมองมาทางฉันอย่างจะยืนยันในคำพูดของตัวเอง ฉันยิ้มให้เขานิดหนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปปิดประตูรถ และในไม่ช้าเมอร์ซิเดสสีบรอนซ์ก็แล่นออกสู่ถนนใหญ่ช้าๆ

      ฉันเหลือบมองคนขับที่หยาดน้ำเกาะพราวไปทั่วทั้งตัวอย่างสำนึกผิด “ขอโทษนะ เพราะฉัน...คุณเลยเปียกไปด้วยเลย”

      “แกลคิดมากอีกแล้วนะ” เขาหันหน้ามายิ้มให้ฉัน นัยน์ตาสีเปลือกไม้เต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกับริมฝีปาก “ผมก็ต้องขอโทษคุณเหมือนกันนะที่อารมณ์เสียไปหน่อย ผมแค่...” เขาหยุดนิดหนึ่ง ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาเป็นสีเข้มขึ้นเล็กน้อย “ผมก็แค่เป็นห่วงคุณมากเกินไป”

      หัวใจฉันเต้นรัวอย่างบ้าคลั่งกับรอยยิ้มและสายตาที่เขามองมาทางฉัน รู้สึกมือไม้เกะกะอย่างควบคุมไม่ได้ เขาอมยิ้มเมื่อเห็นปฏิกิริยาของฉัน ก่อนจะเอ่ยเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้ฉันรู้สึกกระดากไปมากกว่านี้

      “ทำไมคุณกลับดึก”

      “ฉันนั่งทำรายงานอยู่ที่หอสมุดกลาง รู้ตัวอีกทีมันก็ดึกแล้ว” ฉันเอ่ยตอบเขาเบาๆ “แล้วคุณล่ะ”

      “ผมเหรอ?” เขาทวนคำ “สงสัยฟ้าคงจะรู้ล่ะมั้งว่าวันนี้มีคนต้องตากฝนกลับบ้าน เลยให้ผมอยู่เป็นราชรถไง” เขาขยิบตาล้อฉันอีกครั้งซึ่งทำให้ฉันค้อนใส่เขาเป็นรอบที่สอง

      เรานั่งกันไปเงียบๆ การจราจรวันนี้ติดขัดมาก คงเป็นเพราะฝนที่ตกต้องลงมาอย่างไม่บันยะบันยังทำให้บางส่วนของกรุงเทพฯ ระบายน้ำไม่ทัน ฉันนั่งมองภูมิทัศน์สองข้างทางอย่างเพลิดเพลิน แต่ไม่ช้าความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่ส่องตรงมาปะทะกับร่างกายที่เปียกชื้นเพราะสายฝนก็ทำให้ฉันหนาวสั่น อาร์หันหน้ามามองฉันนิดหนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าเสื้อคลุมจากเบาะหลังมาคลุมร่างฉันให้อย่างอ่อนโยน

      “ใส่ซะ” เขาสั่งเสียงห้วนที่เต็มไปด้วยความห่วงใย ฉันมองเขาอย่างขอบคุณก่อนที่จะสวมเสื้อตัวนั้นลงไป ความอบอุ่นจากอุ้งมือของเขาที่สัมผัสบริเวณไหล่เบาๆ ทำให้ทำให้ฉันลืมความเหน็บหนาวไปได้เป็นปลิดทิ้ง กลิ่นหอมกรุ่นของเสื้อลอยมาปะทะจมูกจนฉันเผลอกระชับเสื้อแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว...

      ฉันเบือนหน้าซ่อนยิ้มไปทางหน้าต่าง มองสายฝนที่พร่างพรมลงตกกระทบตัวรถดังเปาะแปะไปเรื่อยอย่างมีความสุข เสียงเพลงหวานๆ ที่ดังออกมาจากวิทยุก็ยิ่งส่งให้บรรยากาศมันดูโรแมนติกอย่างบอกไม่ถูก

      ฉันนั่งบอกทางให้เขาขับมาเรื่อยๆ โชคดีที่เวลานี้ค่อนข้างดึกมากแล้วจึงทำให้การจราจรค่อยๆ ซาลง รถเมอร์ซีเดสสีบรอนซ์ค่อยๆ เคลื่อนไปตามทางช้าๆ และไม่นานนัก... มันก็มาจอดสนิทอยู่ที่ลานจอดรถตรงทางเข้าคอนโดของฉันเรียบร้อยแล้ว

      ฉันถอนใจอย่างเสียดายเล็กน้อยที่เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วนัก ก่อนจะหันหน้าไปขอบคุณเขาเบาๆ อาร์ยิ้มตอบฉันอย่างอ่อนโยน ฉันถอดเสื้อคลุมที่ตอนนี้ชื้นไปด้วยหยาดฝนอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย... ถ้าตอนนี้ตัวฉันยังเปียกอยู่ อาร์ก็คงไม่ต่างจากฉันเท่าไรนัก

      “เอ่อ... อาร์” ฉันกัดริมฝีปากอย่างชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสบกับนัยน์ตาสีเปลือกไม้คู่สวยที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม นวลแก้มร้อนผ่าวอย่างควบคุมไม่ได้ “ขึ้นไปเปลี่ยนชุดข้างบนก่อนไหม”

      เขาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจจนฉันตีหน้ายุ่ง ...เอ นี่เขาคงไม่ได้คิดว่าฉันให้ท่าเขาหรอกนะ

      “มะ...ไม่ใช่นะ ฉันแค่เห็นเสื้อนายเปียก เดี๋ยวจะไม่สบายเอา” ฉันรีบละล่ำละลักเอ่ยพัลวัน กลัวจริงๆ ว่าเขาจะคิดอย่างที่ฉันคิดเมื่อครู่

      อาร์ขยับรอยยิ้มขบขันเมื่อได้ฟังคำอธิบายที่ดูลุกลี้ลุกลนของฉันเมื่อครู่ ก่อนที่เขาจะขยิบตาให้ฉันอย่างน่ารัก

      “ได้สิครับ แต่แกลต้องเลี้ยงข้าวเย็นผมนะ ผมหิวจะแย่อยู่แล้วเนี่ย”

      ฉันค้อนเขาน้อยๆ แต่ก็ไม่สามารถห้ามรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาที่ริมฝีปากได้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันว่าตั้งแต่ได้เจอเขาฉันถึงได้ยิ้มง่ายขนาดนี้ ความรู้สึกอบอุ่นสบายใจแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเวลาอยู่กับผู้ชายคนไหนค่อยๆ ก่อเกิดขึ้นภายในใจของฉันช้าๆ

      ฉันเดินนำเขาเข้าข้างในอาคาร พี่ยามที่คอยเปิดประตูให้ฉันทุกเย็นทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นฉันพาผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่นายอชิเข้ามาในคอนโด ฉันยิ้มให้กับเขาเล็กน้อยพร้อมทั้งได้รับรอยยิ้มล้อเลียนที่ทำให้ฉันหน้าร้อนวูบตอบกลับมา เขาคงแปลกใจ... เพราะปกตินอกจากใบหน้าไร้อารมณ์แล้ว ฉันแทบจะไม่เคยส่งรอยยิ้มแบบวันนี้ให้เขาเลย

      “แกลน่าจะยิ้มบ่อยๆ นะ” ฉันสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทุ้มนุ่มกระซิบอยู่ชิดริมหู “เห็นมั้ยว่ารอยยิ้มของคุณทำให้คนรอบข้างรู้สึกดีแค่ไหน”

      ฉันหน้าแดงกับคำพูดโดยนัยของเขา ก่อนจะรีบจ้ำหลบนัยน์ตาพราวประกายระริกของเขามุ่งตรงไปยังลิฟต์ อาร์เดินตามฉันมาพร้อมทั้งผิวปากเล็กน้อยอย่างสบายใจ

      ...ตาบ้านี่ ฉันชักเริ่มจะหมั่นไส้นายแล้วนะยะ

      ความเงียบปกคลุมเราอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมแคบๆ ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียง ติ๊งเบาๆ จะทำให้ฉันรู้สึกตัว ฉันรีบก้าวเดินนำเขาออกไปจากลิฟต์ ความรู้สึกขัดเขินแปลกๆ เข้าปกคลุมระหว่างเราสอง ทางเดินชั้นสามสิบสี่ทอดยาวไปจนถึงประตูไม้สักทองหน้าห้องหมายเลขสามสี่หนึ่งสามซึ่งเป็นห้องที่ฉันอยู่กับอชิ ฉันเคาะประตูเบาๆ ด้วยความหวาดหวั่นเล็กๆ ไม่รู้ตาอชิจะว่ายังไงบ้างที่เห็นฉันกลับดึกขนาดนี้ (แถมยังพาผู้ชายมาห้องอีกด้วยสิ =_=)

      “ยัยแกลลลลลลลลลล!!!” เสียงทุ้มห้าวของบุคคลในห้องดังขึ้นทันทีที่หลังมือของฉันแตะถูกประตูเป็นก๊อกที่สอง ตาอชิเปิดประตูห้องออกมาพร้อมรัวคำพูดใส่ฉันเป็นชุด ร่างสูงของเขารวบตัวฉันเข้าไปกอดไว้อย่างเป็นห่วง “ยัยบ้า ทำไมกลับบ้านเอาป่านนี้หา ดูซิเนี่ย... เปียกม่อล่อกม่อแลกมาเลย รู้บ้างมั้ยหาว่าคนเค้าเป็นห่วงแค่ไหน...” คำพูดของเขาหยุดกึกไปในทันทีที่ได้เห็น แขกยืนอยู่ข้างหลังฉัน อชิปล่อยฉันออกจากอ้อมกอดก่อนจะหันมาถามอย่างสงสัย

      “ไอ้หน้าจืดนี่ใคร” ดู๊ดู... ดูคำพูดอันแสนกวนประสาทที่พี่ชายฉันพูดกับแขกของฉันสิคะ แล้วเนี่ยน่ะนะ ผู้ชายอบอุ่นแสนอ่อนโยนเวลาอยู่กับคุณหนูอาคี เฮอะ! ให้ตายฉันก็ไม่เชื่อ!!

      สายตาประเมินของอีตาลูกพี่ลูกน้องจอมกวนของฉันสบกับสายตาของอาร์ที่กำลังมองมาอย่างขุ่นข้อง ตลอดเวลาห้าปีที่ฉันอยู่ตามลำพังกับตาอชิ ฉันไม่เคยพาเพื่อนคนไหนเข้ามาในห้องเลยแม้แต่คนเดียว เพราะฉะนั้นคงไม่แปลกที่อชิจะสงสัยถึงความสัมพันธ์ของฉันกับอาร์

      “เพื่อน” ฉันตอบสั้นๆ ก่อนจะเบี่ยงตัวหนีเข้าห้อง ทิ้งผู้ชายสองคนยืนจ้องกันหน้าราวกับโกรธแค้นกันมาสิบชาติอยู่อย่างนั้น

      “เข้ามาสิ” ฉันได้ยินเสียงอชิเอ่ยออกมาเสียงกร้าวก่อนที่เขาจะถอยหลังให้ชายหนุ่มหน้าห้องเดินเข้ามาอย่างไม่เต็มใจนัก ฉันส่ายหน้าน้อยๆ กับอาการหวงน้องสาวที่เพิ่งจะมาเป็นเอาตอนนี้

      “กินอะไรมารึยัง” ตาอชิถามฉันอย่างห่วงใย ฉันส่ายหน้าพร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนไปทางเขา

      “ยัง นายทำข้าวผัดให้ฉันสองจานหน่อยสิ นะๆๆ” ฉันเดินเข้าไปเกาะแขนเขาพร้อมเอาหน้าถูๆ ที่ต้นแขนแข็งแรงเหมือนแมวน้อยเวลาอ้อนเจ้าของ ซึ่งเป็นวิธีขอร้องที่ใช้ได้ผลทุกครั้งกับผู้ชายขี้ใจอ่อนอย่างตาอชิ

      “เฮอะ สองจาน เผื่อไอ้หน้าจืดนี่ด้วยล่ะสิ” เขาปรายตามองไปยังผู้ชายอีกคนที่ยืนทำตาขุ่นขวางอยู่ข้างๆ “นี่ถือว่าแกลขอร้องหรอกนะ ไม่งั้นแกไม่มีวันได้กินอาหารฝีมือข้าหรอกโว้ย”

      ฉันเห็นอาร์อ้าปากจะเอ่ยคำพูดออกมาจึงรีบส่งสายตาปรามไว้ เหนื่อยขนาดนี้ถ้าไม่พึ่งฝีมือทำอาหารขั้นเทพของตาอชิฉันคงไม่มีปัญญาทำให้เขาทานหรอก

      เมื่ออาร์เห็นสายตาของฉันจึงหุบปากไปพร้อมกับทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ ฉันขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ

      ...อะไรกันเนี่ย... ก่อนเข้ามายังดีๆ อยู่เลยนี่นา

      “ไปอาบน้ำอาบท่าซะไป เดี๋ยวกลับมาจะได้กินได้เลย” พี่ชายของฉันบอกเรียบๆ ด้วยท่าทีห่วงใย ฉันยิ้มให้เขานิดหนึ่งก่อนที่เขาจะปลีกตัวเข้าไปในครัว พออชิลับสายตาไปแล้วฉันจึงหันมาหาผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ในห้อง

      “มานี่สิ” ฉันเอ่ยเรียบๆ พลางเดินนำเขาเข้าไปยังห้องนอนของอชิ ฉันเปิดประตูเดินนำเข้าไปก่อนจะมุ่งหน้าไปคุ้ยเสื้อผ้ายังตู้เสื้อผ้าของพี่ชายฉันอย่างคุ้นเคย แน่ล่ะ... ก็ในเมื่อฉันเป็นคนจัดเสื้อผ้าให้เจ้าพี่จอมยุ่งทุกวันนี่นา จะไม่คุ้นก็คงไม่ได้

      ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงประตูงับปิดลงพร้อมกับเสียงดัง กริ๊กเบาๆ ฉันรีบหันหลังไปทางอาร์อย่างลนลาน

      “นะ...นาย ทำอะไรน่ะ ล็อกประตูทำไม”

      อาร์เดินย่างสามขุมมาทางฉันที่กำลังก้าวถอยหลังอย่างตื่นตระหนก เขาจับแขนฉันล็อกไว้สองข้างก่อนจะดึงตัวให้เข้ามาประชิดกับตัวเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมีรอยร้อนระอุแบบที่ทำให้ฉันแทบจะเป็นลมด้วยความตื่นกลัว

      “ไอ้บ้านั่นเป็นใคร” เขาถามเสียงเข้ม ฉันสะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงขู่กรรโชกซึ่งปราศจากความอ่อนหวานใดๆ ของเขา

      “ไอ้บ้าไหน?” ฉันถามเสียงเรียบ สะบัดมือออกจากการเกาะกุมของเขา คิ้วขมวดเล็กน้อยเมื่อได้ยินเขาเรียกพี่ชายฉันด้วยท่าทีไม่สุภาพอย่างนี้ แต่ก็ต้องร้องโอ๊ย หน้าซีดเผือดขึ้นมาทันทีเมื่อมือแข็งแรงบีบแขนฉันแน่นขึ้น นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมีรอยกรุ่น...โกรธ

      “อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องน่ะแกล คุณก็รู้ว่าผมหมายถึงใคร”

      ฉันนิ่งเงียบ... แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นใบหน้าของอาร์โน้มเข้ามาใกล้ จนต้องรีบละล่ำละลักบอกความจริงไปอย่างไม่อ้อมค้อม

      “อชิ... พี่ชายฉันเอง”

      อาร์ทำท่างงไปชั่วครู่กับคำตอบของฉันจนเผลอคลายแรงที่เกาะกุมมือฉันอยู่ “พี่ชาย?”

      “ใช่” ฉันเบี่ยงตัวหนีออกมาจากท่าทีคุกคามของเขาก่อนจะเอ่ยตอบออกไป อาร์ขมวดคิ้วอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกก่อนจะถามซ้ำอีกครั้ง

      “พี่ชายเหรอ?”

      “อื้อ” ฉันพยักหน้าตอบ “ไม่เชื่อดูรูปหัวเตียงนั่นสิ”

      อาร์เดินไปทางโต๊ะเล็กข้างเตียงที่มีรูปสมัยเด็กของฉันกับอชิยืนกอดคอยิ้มแย้มให้กล้องอย่างร่าเริง เขาทำหน้ายุ่งก่อนจะเอามือยีหัวตัวเองพร้อมกับเหลือบมองฉันอย่างสำนึกผิด

      “ขอโทษนะแกล... ผม...หึงแรงไปหน่อย”

      ฉันสะดุดวูบกับคำพูดของเขา ใบหน้าร้อนวาบอย่างควบคุมไม่ได้ อาร์เดินเข้ามาหาฉันจนชิดก่อนที่แขนแข็งแรงจะโอบรอบตัวฉันที่กำลังยืนแข็งอย่างทำอะไรไม่ถูกไว้หลวมๆ วางคางเกยไว้กับไหล่บอบบางของฉัน

      “แกลจ๋า...” เขากระซิบเสียงนุ่ม “แกลห้ามยุ่งกับผู้ชายคนไหนอีกนะ... อาร์หวงนะรู้หรือเปล่า...”

      ฉันนิ่งค้างไปอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ความใกล้ชิดระหว่างเราสองคนที่เกิดขึ้นทำให้ฉันหายใจสะดุด เลือดสูบฉีดพุ่งขึ้นมาตามนวลแก้มอย่างห้ามไม่ได้ เสียงหัวใจที่เต้นระรัวของฉันสอดประสานกับเสียงหัวใจที่เต้นอย่างหนักแน่นของเขา อ้อมแขนของเขาให้ความรู้สึกปกป้อง คุ้นเคย จนฉันรู้สึกราวกับว่าเรารู้จักกันมานานแสนนาน...

      แต่แล้วก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้นมากไปกว่านั้น... เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นก็ทำให้เราสองคนสะดุ้ง ผละออกจากกันอย่างรวดเร็วราวกับถูกไฟช็อต

      อาร์เดินออกไปปลดล็อกประตูห้องในขณะที่ฉันรีบเดินก้มหน้างุดๆ ไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อค้นเสื้อผ้าเก่าๆ ของตาอชิให้อาร์สวม ใบหน้าของฉันร้อนจัดจนฉันรู้สึกราวกับว่าตัวเองคงจะเป็นไข้

      “ทำอะไรกัน” อชิมองมาทางเราสองคนด้วยสายตาจับผิด ฉันตีหน้าเรียบเฉยก่อนจะยื่นกางเกงเลเก่าๆ กับเสื้อยืดตัวโคร่งสีดำสนิทไปให้อาร์

      “อ่ะ นายเอาไปเปลี่ยนซะ เดี๋ยวจะได้ไปกินข้าวพร้อมกัน”

      เขารับมันไว้พร้อมกับพยักหน้าน้อยๆ ให้ตายสิ! สายตาพราวประกายของเขาทำให้ฉันหน้าร้อนขึ้นมาอีกแล้ว ฉันผลักอชิที่ยืนขวางประตูอยู่ก่อนจะเดินจ้ำๆ กลับห้องตัวเองโดยไม่มองหน้าใคร และทันทีที่ประตูห้องของฉันงับปิดลง ร่างของฉันก็แทบจะทรุดฮวบอยู่เบื้องหลังประตูนั้นนั่นเอง

      ...ให้ตาย... นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่เนี่ย!!!

      ฉันตั้งสติตัวเองก่อนจะรีบเข้าไปห้องน้ำ อาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็วแล้วออกไปยังห้องอาหารด้านนอก อาร์ที่ผลัดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วกำลังนั่งคุยกับพี่ชายของฉันอย่างออกรส ฉันมองภาพเขาสองคนด้วยความมึนงงเล็กน้อย

      ...อะไรกันเนี่ย... เมื่อกี้ยังทะเลาะกันแทบเป็นแทบตายเลยนี่นา พวกผู้ชายนี่เข้าใจยากจริง

      มื้ออาหารจบลงอย่างราบรื่นพอใช้ มีไม่ราบรื่นอยู่บ้างก็ตรงที่เจ้าลูกพี่ลูกน้องตัวแสบของฉันคอยแต่จะขุดเอาเรื่องเปิ่นๆ ของฉันมาเผาให้อาร์ฟังอยู่ตลอด เรียกเอาค้อนจากฉันไปหลายรอบ แต่ก็ไม่แปลกหรอก เพราะถึงแม้อชิจะดูบ้าๆ บวมๆ ติงต๊องไปบ้าง แต่จะว่าไป... คนที่รู้จักฉันมากที่สุด... อาจจะมากกว่าพ่อกับแม่ของฉันด้วยซ้ำ ก็คือนายอชิคนนี้นี่ล่ะ...

      “ปลายฟ้า แค่หลับตาลงคงพบกัน โอบกอดดวงใจสายสัมพันธ์ ท่ามกลางความฝันของเรา

      ดาวน้อย โปรดลอยมาลงตรงหัวใจ เก็บเกี่ยวความคิดถึงฉันไป ให้เธอที่ปลายฟ้าไกล~

      เสียงริงโทนเป็นเพลงปลายฟ้า เพลงประกอบละครเรื่องหนึ่งที่ฉันชอบดังขึ้น ฉันเห็นอาร์หันรีหันขวางหาที่มาของต้นเสียงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่เขาจะนึกขึ้นได้ว่าลืมโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกงตัวเก่า เขาเดินก้าวยาวๆ ไปหยิบมันมา และทันใดที่เห็นหน้าจอโทรศัพท์มือถือ คิ้วของเขาก็ขมวดเป็นปมอย่างยุ่งยากใจ ความกระวนกระวายเจืออยู่บนใบหน้าคมเข้ม

      ...ใครกันนะ ฉันถามตัวเองอย่างสงสัย แต่ไม่นานนักฉันก็ได้รับคำตอบที่กรีดใจฉันจนเป็นแผลลึกวาบเข้าไปถึงข้างใน

      “ฮัลโหล มูนเหรอคะ” คำพูดอ่อนหวานด้วยน้ำเสียงง้องอนทำให้ฉันรู้สึกขมปร่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

      ...ให้ตายสิ! นี่ฉันลืมไปได้ยังไงนะว่าเขามีแฟนแล้ว... แถมแฟนของเขายังเป็นเพื่อนสนิทของฉันอีกด้วย

      “โถ... มูนคะ อย่างอนอาร์เลยน้า อาร์ผิดไปแล้วค่ะ ยกโทษให้อาร์ด้วยน้า แล้วไว้อาร์จะเล่าให้มูนฟังนะคะ ค่ะ เทคแคร์ค่ะ บาย” คำพูดเป็นห่วงเป็นใยยิ่งทำให้ใจของฉันเจ็บเสียดจนแทบจะหายใจไม่ออก ให้ตายสิ! นี่ฉันเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย

      ด้วยความรู้สึกแย่ทำให้ฉันเอ่ยขอตัวจากพี่ชายของฉันเบาๆ อ้างว่าไม่สบาย ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง และไม่ออกมาอีกเลยไม่ว่าอาร์จะเคาะประตูเรียกด้วยท่าทางเป็นห่วงเป็นใยเท่าไหร่ ในไม่ช้าอาร์ก็ยอมแพ้พร้อมกับที่ฉันได้ยินเสียงเอ่ยลาระหว่างผู้ชายสองคน ฉันรอจนกระทั่งได้ยินเสียงประตูห้องชุดปิดลงจึงได้เดินกลับไปฟุบหน้าลงกับหมอน หยาดน้ำหยดหนึ่งรินไหลออกมาจากหางตาของฉันช้าๆ ฉันรีบปาดมันทิ้งอย่างรวดเร็ว

      นี่ไม่ใช่ครั้งแรกฉันร้องไห้... แต่เป็นครั้งแรกที่ฉันร้องทั้งๆ ที่ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันจะร้องไปเพื่ออะไร... แต่ที่ฉันรู้... คือความเจ็บปวดที่กัดกร่อนจิตใจของฉันอยู่ในตอนนี้... เจ็บปวด... และบาดลึกไปทั้งหัวใจ

       

      เช้าวันต่อมา ฉันมามหาวิทยาลัยอย่างไม่สดใสนัก สืบเนื่องจากเมื่อคืนนี้ฉันนอนไม่ค่อยจะหลับ และดูเหมือนมันจะทำให้เช้านี้ทั้งเช้าของฉันกลายเป็นเช้าอันแสนขมุกขมัว

      ออด...

      เสียงออดแสดงสัญญาณเลิกคลาสดังขึ้นเมื่อเวลาสิบสองนาฬิกาตรง ฉันเก็บข้าวของอุปกรณ์การเรียนทั้งหลายแหล่พร้อมกับสะบัดหน้าไล่ความเมื่อยขบออกไปก่อนที่จะลุกเดินออกจากห้องไปอย่างไม่เร่งรีบ

      คลาสเรียนที่ผ่านมาเป็นคลาสของวิชาภาษาฝรั่งเศสเบื้องต้น ซึ่งเป็นวิชาเลือกเรียนเสริมซึ่งฉันเลือกไปด้วยความสนใจส่วนตัว คนในคณะเดียวกันกับฉันไม่ค่อยจะเลือกเรียนวิชานี่เท่าไรนักเพราะมันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องส่งเสริมใดเลยกับวิชาภาคบังคับของฉัน และรวมถึงเพื่อนสาวสองคนของฉันก็ด้วย

      “แกลจ๋า...”

      แต่เมื่อมาถึงหน้าห้องฉันก็ต้องชะงักนิดหนึ่ง ใบหน้าที่จัดได้ว่าหล่อเหลาของคนที่ฉันไม่เคยอยากเจอแม้สักนิดกำลังส่งยิ้มที่คิดว่าหล่อที่สุดมาทางฉัน ฉันเบะปากอย่างสมเพชก่อนจะเลี้ยวขวาเดินไปที่โรงอาหารอย่างไม่สนใจเขา

      “จะไปไหนล่ะจ๊ะแกล แบงค์อุตส่าห์มาหาแกลนะ แกลไม่ดีใจเลยหรือหรือไง”

      “ไม่” ฉันตอบเรียบๆ สะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุม ก่อนจะเน้นเสียงชัดถ้อยชัดคำ “อย่ามายุ่งกับฉัน”

      “โถ่ แกล ทำไมแกลตัดรอนแบงค์แบบนี้ล่ะ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ฉันปรายตามองเขาด้วยสายตาเหยียดหยามก่อนจะเมินหน้าหนี นี่เขาคิดว่าฉันโง่ถึงขนาดไม่เคยรู้ธาตุแท้ของเขาเลยหรือไง หลังจากวันที่อาร์กับเมย์เตือนเรื่องเขา ฉันก็ใช้ให้นายอชิสืบข่าวของนายคนนี้อย่างละเอียดจนแทบจะเอ่ยได้ถึงลิสต์รายชื่อผู้หญิงในสต็อคที่ยาวเหยียดราวรางรถไฟของหมอนี่ และไม่บอกก็รู้ว่าฉันคงไม่โง่พอที่จะคิดรวมตัวเองเข้าไปอีกคน

      “แกล” เขาจับข้อมือฉันไว้แน่น ก้าวเข้ามาประชิดจนแทบจะติดอยู่กับตัวฉัน “คอยดูนะ สักวันแกลจะต้องเสียใจที่พูดอย่างนี้กับแบงค์”

      เขามองฉันอย่างแค้นเคืองก่อนจะเดินจากไป ฉันถอนหายใจน้อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดินไปทางโรงอาหารช้าๆ เฮ้อ...วันอันแสนสุขของฉันหมดไปแล้วเพราะเขาเพียงคนเดียว น่าเบื่อที่สุด!

      ฉันเดินเข้าไปเข้าคิวต่อแถวซื้อก๋วยเตี๋ยวที่ตอนนี้คิวยาวเหยียด แต่มันก็เป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับโรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัยแบบนี้ ด้วยความที่ที่นี่เป็นแหล่งรวมของนักศึกษาทุกคณะ จึงทำให้มีคนค่อนข้างเยอะกว่าที่โรงอาหารคณะพอสมควร

      “นี่ยัยนุ่น แกได้ยินข่าวพี่แบงค์ไหม”

      เสียงพูดคุยของคนที่มาต่อแถวข้างหลังฉันดังมาเข้าหูโดยไม่ได้ตั้งใจ ฉันขมวดคิ้วอย่างรำคาญ เมื่อไหร่พวกข่าวลือซุบซิบพวกนี้ถึงจะหมดไปจากโลกเสียทีน้า...

      “ข่าวอะไร” เสียงผู้หญิงอีกคนถามกลับมา

      “ก็ข่าวเรื่องพี่แบงค์กับแม่สาวเจ้าหญิงน้ำแข็งคณะวิทยาไง เนี่ย ฉันเพิ่งได้ยินมาสดๆ ร้อนๆ เลยนะ”

      หูฉันผึ่งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคนพูดถึงเรื่องของตัวเอง ถึงฉันจะพอรู้อยู่บ้างแล้วน่ะนะว่าคนเขาพูดถึงฉันว่าอะไรบ้าง แต่บางทีมันก็ยังอยากฟังอยู่ดีน่ะแหละ

      “แกก็รีบๆ เล่ามาสิยะ มัวอมพะนำอยู่ได้ ล่าสุดฉันได้ข่าวแค่พวกเขาคั่วกันก็เท่านั้น”

      ฉันนิ่งอึ้งไปกับคำพูดของหล่อน ...คั่ว... นี่คนอื่นๆ เขาใช้คำคำนี้กับฉันอย่างนั้นเหรอ

      “โอ๊ยยย แกน่ะตกข่าวแล้วนุ่น เนี่ย เพิ่งมีคนเห็นพวกเขาจับมือถือแขนกอดรัดกันแนบแน่นอยู่หน้าโรงอาหารนี่เอง ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้หน้าด้านชะมัด ไม่รู้ป่านนี้จะพากันไปโดนล้วงแคะแกะเกาต่อถึงไหนต่อไหนแล้วเนอะแก”

      คำพูดต่อมาของหล่อนยิ่งกระหน่ำซ้ำซัดเข้ามาทำร้ายจิตใจของฉันให้ยิ่งบอบช้ำ

      ...กอดรัดแนบแน่น... มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง ในเมื่อฉันยังไม่เคยเต็มใจแม้แต่จะให้เขาจับแขนด้วยซ้ำ!!

      แล้วนี่มันหมายความว่ายังไง... ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาฉันคิดแค่ว่าคนอื่นมองฉันเป็นแค่ผู้หญิงที่ชอบหักอกผู้ชาย แต่โดยแท้แล้ว... พวกเขามองฉันเป็นยัยสิ้นคิดที่ชอบอ่อยผู้ชายอย่างนั้นเหรอ!!!

      ฉันกำมือแน่น... หัวใจบีบแน่นจนจุกกับสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้ ฉันไม่เข้าใจ... ตลอดเวลาฉันอยู่ของฉันเฉยๆ ไม่เคยทำอะไรให้ใคร ไม่เคยเป็นปฏิปักษ์กับใคร แต่ทำไม...ทำไมพวกเขาถึงต้องทำกับฉันแบบนี้ด้วย...

      “นั่นสินะแก เฮ้อ เสียดายพี่แบงค์ชะมัดเลย ทั้งหล่อทั้งดีราวเทพบุตร ไม่รู้ไปตกหลุมเสน่ห์ผู้หญิงแบบนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้เนอะ ไม่มีคุณค่าเลยแม้แต่นิดเดียว”

      พวกเขายังคงพูดต่อไป โดยไม่ได้รับรู้เลยว่าหยาดน้ำใสเริ่มคลอคลองอยู่ในดวงตาของคนที่ถูกเขานินทาด้วยฤทธิ์ของพิษคำคน แต่ก่อนที่มันจะกลิ้งตัวลงมาให้ฉันได้อาย มืออบอุ่นแข็งแรงของใครบางคนก็บีบลงมาบนไหล่ของฉันแน่นจนฉันสะดุ้งเฮือก น้ำตาที่กลั้นไว้รินไหลลงมาตามแก้มทันที

      ฉันเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้าหล่อคมของชายผู้ซึ่งเข้ามาช่วยเหลืออย่างตกตะลึง ก่อนที่เสียงสั่นระริกจะถูกครางลอดออกจากลำคอเป็นชื่อของเขา... เจ้าของดวงตาที่มาหลอกหลอนฉันอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะยามหลับหรือยามตื่น

      “อะ...อาร์...”

      เขาส่งยิ้มอบอุ่นให้ฉัน สองมือเกลี่ยน้ำตาที่แก้มให้ฉันอย่างอ่อนโยน หญิงสาวตัวต้นเหตุสองคนด้านหลังฉันกำลังยืนนิ่งอึ้งด้วยความช็อคเมื่อรับรู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกหล่อนคือคนที่พวกหล่อนนินทาอย่างสนุกปาก อาร์หันไปมองหน้าพวกหล่อนด้วยประกายตาลุกเป็นไฟ เขาดูโกรธมาก...มากจนขนาดฉันเองยังสั่นสะท้าน

      “อย่า...อาร์” ฉันฉวยแขนของเขาเอาไว้ “อย่ามีเรื่อง ฉัน...ไม่เป็นไร”

      อาร์หันมามองหน้าฉันอย่างเป็นห่วง ประกายไฟในดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นกระแสห่วงใยยามทอดมองมาทางฉัน มือของเขาเอื้อมมาจับมือของฉันไว้แน่น ก่อนจะปรายตาไปมองยัยพวกนั้นด้วยประกายตาเย็นเยียบราวน้ำแข็งจนพวกหล่อนสั่นสะท้าน พร้อมกับเอ่ยด้วยคำพูดที่ทำให้ฉันอุ่นวาบไปจนถึงขั้วหัวใจ

      “หุบปากเน่าๆ ของพวกเธอไปซะ ยัยนี่น่ะผู้หญิงของฉัน ถ้าชีวิตวันๆ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการจับกลุ่มนินทาชาวบ้านล่ะก็ลาออกจากมหาลัยไปซะ เพราะคนอย่างเธอถึงเรียนไปมันก็ไม่ได้ช่วยยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นมาหรอก”

      เอ่ยด้วยคำพูดเชือดเฉือนจบแล้วเขาก็ลากฉันให้ออกมาจากที่ตรงนั้นทันที

      น้ำตาของฉันแห้งเหือดไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม... แต่ความโกรธของเขากับความร้อนที่แผ่ซ่านออกมาจากปลายนิ้วที่กำลังประสานอยู่กับนิ้วของฉันราวกับจะมีอานุภาพในการระเหยน้ำตาของฉันไปจนหมดสิ้น เรียกมาแต่ความรู้สึกอบอุ่นที่เริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจอันเหน็บหนาวของฉันอย่างช้าๆ

      เขาพาฉันไปนั่งที่ริมสระน้ำของมหาวิทยาลัย เราทั้งสองทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นหญ้า โชคดีที่บริเวณนี้มีร่มเงาจากไม้ยืนต้นที่ปลูกอยู่ริมสระน้ำจึงทำให้บริเวณนี้ดูร่มรื่น สายลมเย็นพัดเอื่อยมากระทบผิวกายดูคล้ายอ้อมกอดที่กำลังโอบกอดฉัน รวมถึงบรรยากาศที่ค่อนข้างเงียบสงบจึงทำให้ฉันยิ่งรู้สึกผ่อนคลาย

      ฉันยิ้มบางๆ รับบรรยากาศโดยรอบ ความรู้สึกกดดันบีบคั้นจากการถูกทำร้ายอย่างรุนแรงจากคำพูดเมื่อครู่มลายหายไปจนหมดตั้งแต่ได้เห็นหน้าเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงได้รู้สึกดีนักเวลาอยู่ข้างๆ คนคนนี้ บางที...อาจเป็นเพราะความคุ้นเคยที่ฉันเองก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ด้วยล่ะมั้ง

      ฉันดึงมือออกมาจากมือของเขาอย่างเขินๆ หัวใจเต้นรัวราวกลองตีเมื่อเห็นว่ามือของเรายังคงเกาะเกี่ยวกันอยู่ อาร์อมยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าที่แดงระเรื่อของฉัน

      “สบายใจขึ้นหรือยัง” เขาถามน้ำเสียงอ่อนโยน ไม่รู้ว่าฉันอุปาทานไปเองหรือเปล่านะ... ที่เห็นนัยน์ตาอบอุ่นของเขาทอดมองมาทางฉัน

      “อื้อ” ฉันรับคำเบาๆ สายตามองตรงไปยังผืนน้ำสงบนิ่งเบื้องหน้าอย่างผ่อนคลาย

      “ดีแล้วล่ะ” เขาเอ่ยยิ้มๆ “อย่าคิดมากเลย มันก็เป็นเพียงแค่ลมปากชาวบ้านน่ะแหละ ตัวเรารู้ว่าเราเป็นยังไงก็น่าจะพอแล้วนี่นา”

      “อื้อ” ฉันรับคำอีก ก่อนจะส่งรอยยิ้มไปให้เขาอย่างขอบคุณ อาร์ดูจะตกตะลึงไปเล็กน้อยกับรอยยิ้มของฉัน เขาเอื้อมมือมาลูบศีรษะไล่ไปตามเส้นผมนุ่มสลวยดำขลับของฉันอย่างเผลอไผล ก่อนมือหนาจะยกเส้นผมของฉันขึ้นไปสูดดมกลิ่นหอมของมันราวกับคนกำลังละเมอ...

      หัวใจของฉันเต้นแรงเมื่อได้เห็นท่าทีของเขา สายตาของฉันราวกับถูกสะกดให้จดจ่ออยู่ที่ใบหน้าของเขา...

      ทันใดนั้น... ภาพเงาของใครสักคนที่เคยคุ้นดูจะซ้อนทับกับภาพใบหน้าหล่อเหลาของอาร์ ความทรงจำบางอย่างที่ปิดตายมานานแสนนานราวกับจะดิ้นรน...กรีดร้องขออิสรภาพอยู่ในสมองของฉัน เพียงแต่...เหมือนฉันจะทำกุญแจไขกล่องความทรงจำใบนั้นหายไปเสียแล้ว...

      ฉันสะบัดหน้าอีกครั้งอย่างขัดใจ... อะไรบางอย่างบนดวงหน้าของอาร์ดูคุ้นเคย... ติดตรึงอยู่ในความรู้สึกจนเกินกว่าคนที่เพิ่งจะได้เจอกันแค่ไม่กี่ครั้งจะเป็นได้!!

      ฉันถอนใจออกมาแรงๆ ก่อนจะเสหันหน้ามองไปทางอื่น... ทางอื่นที่ไม่มีแววตาคมหวานที่คอยแต่จะทำให้ฉันสับสน

      เราสองคนนั่งอยู่เงียบๆ อย่างนั้นเป็นครู่ ด้วยความที่ฉันมัวแต่ครุ่นคิดอยู่ในภวังค์อันแสนวุ่นวายของตัวเองจึงไม่ทันได้เห็นว่าผู้ชายข้างๆ ฉันกำลังทำอะไรอยู่ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่อาร์ยื่นหูฟังของเครื่องเล่นเอ็มพีสามข้างหนึ่งให้ฉัน พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาลอยๆ

      “ผมชอบเพลงนี้... แกลลองฟังดูสิครับ”

      ฉันขมวดคิ้วนิดหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปรับหูฟังข้างนั้นมาจากมือของเขา

      อินโทรเพลงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากเครื่องเสียงเส้นเล็กที่เสียบอยู่ที่หู ก่อนที่เสียงร้องหวานๆ ของนักร้องหนุ่มในดวงใจของฉันจะดังขึ้นมาประสานกับท่วงทำนองของเสียงดนตรี

       

      วันเวลาดีๆ เหล่านั้น... เธอยังคงจำมันได้ไหม

      วันที่เคยร่วมทุกข์และสุขจนล้นหัวใจ วันที่เราได้ผ่านมาด้วยกัน

      แต่ว่าเวลาที่ผ่านพ้นไป... อาจจะทำให้ใจของใครลืมสิ่งนั้น

      อยากจะมีเพลงเพลงนึง ถ่ายทอดเรื่องราวเป็นพันๆ ให้เธอรู้

      ให้ทุกๆ ครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ก็ขอให้รู้ที่แห่งนี้ นั้นยังมีรักอยู่

      เคยเป็นยังไงในตอนนี้ขอให้รู้ ว่าจะไม่มีเปลี่ยนไป

      และทุกๆ ครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ ก็ขอให้รู้ที่ตรงนี้ ไม่ว่าจะนานเท่าไร

      เราจะมีกันและกันเป็นหนึ่งในดวงใจตลอดไป

      ก็เพราะหัวใจเราผูกกัน

       

      เสียงเพลงแผ่วหวานยังคงล่องลอยอยู่ในโสตประสาทของฉัน ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันจะมานอนกลิ้งเกลือกเป็นน้ำแข็งขึ้นอืดอยู่บนเตียงในคอนโดฯ ที่แสนอบอุ่น (จนร้อน) ของฉันกับนายอชิแล้วก็ตาม น่าแปลกนะ... ทั้งๆ ที่ฉันเองก็ฟังเพลงนั้นมาเป็นสิบเป็นร้อยครั้งแล้ว... หากแต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่ฉันรู้สึกว่ามันไพเราะจับใจเท่าครั้งนี้ ไพเราะ...จนทำให้ฉันอดที่จะร้องคลอออกมาตามเนื้อเพลงไม่ได้ ทั้งๆ ที่ฉันไม่เคยพิศวาสการร้องเพลงเลยก็ตาม...

       

      วันที่เราไม่เคยย่อท้อ... วันที่เราต่างมีความฝัน

      และทำทุกๆ สิ่งด้วยหัวใจเดียวกัน เธอยังคงจำมันได้ใช่ไหม

      แต่ว่าเวลาที่ผ่านพ้นไป อาจจะทำให้ใจของใครลืมสิ่งนี้

      อยากจะมีเพลงเพลงนึงบอกเรื่องราวที่ดีๆ เตือนให้รู้

      ให้ทุกๆ ครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ก็ขอให้รู้ที่แห่งนี้ นั้นยังมีรักอยู่

      เคยเป็นยังไงในตอนนี้ขอให้รู้ ว่าจะไม่มีเปลี่ยนไป

      และทุกๆ ครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ ก็ขอให้รู้ที่ตรงนี้ ไม่ว่าจะนานเท่าไร

      เราจะมีกันและกันเป็นหนึ่งในดวงใจตลอดไป

      ก็เพราะหัวใจเราผูกกัน

       

      “อารมณ์ดีอะไรมาเหรอจ๊ะแกล เดี๋ยวนี้เราเห็นแกลยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยน้า” เมย์ทักขึ้นเมื่อฉันเดินมาถึงห้องเล็กเชอร์ ฉันอมยิ้ม ไม่อยากจะบอกเลยว่าสาเหตุที่ทำให้ฉันอารมณ์ดีเพิ่งจะเดินแยกจากฉันไปเมื่อไม่กี่นาทีมานี้เอง

      หลายวันมานี้ฉันเจอกับอาร์บ่อยมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม... แต่ดูเหมือนเมื่อไหร่ที่ฉันอยู่คนเดียวจะต้องมีเงาของเขาเข้ามาอยู่ใกล้ๆ ฉันเสมอ ฉันเริ่มรู้จักเขามากขึ้น อาร์เป็นคนน่ารัก ทุกครั้งที่เขายิ้ม...ฉันจะรู้สึกราวกับว่าโลกนี้ช่างสดใส ทุกครั้งที่เขาหัวเราะ...มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อกระพือปีกบินอยู่ในท้อง เขาถ่ายทอดความอบอุ่นอ่อนโยนเข้ามาสู่หัวใจอันแห้งผากของฉันอย่างช้าๆ ถึงแม้ว่าบางครั้งเราจะไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก มีเพียงแค่แววตาที่สองเราสื่อสารถึงกัน... ก็ดูราวกับว่าเราสองคนจะเข้าใจกันได้โดยไม่ต้องอาศัยถ้อยคำใดๆ

      ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว... ความคุ้นเคยที่บอกไม่ถูกแทรกผ่านเข้ามาในทุกครั้งที่ฉันพบกับเขา... เป็นความคุ้นเคย... ที่ฉันไม่สามารถบอกได้ว่ามันเกิดจากอะไร แต่ที่ฉันรู้... คือฉันรู้สึกดี... รู้สึกดีมากเวลาอยู่กับเขา

      กาลเวลาค่อยๆ ทำหน้าที่ของมันไปเรื่อยๆ ความรู้สึกของฉันค่อยๆ ถักทอขึ้นมาอย่างช้าๆ เรื่องราวต่างๆ ในทุกช่วงเวลาที่ผ่านมามันทำให้ฉันมีความสุขมาก... สุขจนทำให้ฉันบอกตัวเองให้แกล้งทำเป็นลืมๆ ไปว่าเขาเป็นคนของใคร ให้ฉันแกล้งลืมๆ ไปว่าอาร์ไม่ใช่ของฉันและไม่มีทางเป็นของฉันได้ และในที่สุดแล้ว... เขาก็จะต้องกลับไปหามูน... ไปหาคนของเขา... ไปหาเพื่อนรักของฉัน...

      ใจฉันเจ็บแปลบทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นเมื่อเขากำลังนั่งอยู่กับฉัน ฉันต้องคอยมองเขาเดินห่างออกไปพูดโทรศัพท์และกลับมาเมื่อเขาคุยเสร็จแล้ว ภาพเหล่านั้นมันราวกับจะคอยย้ำเตือนให้ฉันรู้ว่าเขาไม่ใช่ของฉัน อาร์ยังมีโลกอีกใบที่ฉันยังไม่อาจก้าวถึง และมันก็แน่นอนอยู่แล้ว... ว่าโลกอีกใบของเขา... ก็คือโลกของเขากับมูน หญิงสาวที่แสนดีเกินกว่าที่ผู้หญิงเย็นชาอย่างฉันจะไปแยกพวกเขาออกมาจากกันได้ และซ้ำร้าย...ผู้หญิงคนนั้น...ยังเป็นเพื่อนสนิทหนึ่งในสองคนของฉัน เพื่อน...ที่คอยอยู่เคียงข้างฉันเสมอมาในโลกอันแสนอ้างว้าง... โลกที่เต็มไปด้วยถ้อยคำว่าร้ายต่างๆ นานา เพื่อน...ที่ฉันไม่มีวันทรยศได้

      ฉันเพิ่งจะได้รู้หลังจากเหตุการณ์วันนั้นว่าตลอดเวลาที่ผ่านมามูนกับเมย์รู้มาโดยตลอดว่าคนอื่นๆ พูดถึงฉันว่าอย่างไรกันบ้าง แต่พวกหล่อนเลือกที่จะปิดไว้ไม่ให้ฉันรู้เพราะพวกหล่อนไม่อยากให้ฉันต้องเป็นกังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ถึงที่สุดแล้ว...ก็เหมือนฉันจะรู้อยู่ดี ในเมื่อความลับมันไม่เคยมีในโลก

      ความอ่อนโยนของเขาเป็นเหมือนน้ำทิพย์ที่ชโลมจิตใจที่แห้งแล้งของฉันให้เต็มตื้นไปด้วยความอบอุ่นที่เอ่อล้นอยู่ภายใน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนคมมีดที่กรีดหัวใจของฉันให้บาดลึกเป็นรอยแผลมากขึ้นทุกวันๆ คมมีด...ที่ดูราวกับจะถูกลับให้คมมากยิ่งขึ้นในทุกๆ วันที่ฉันคบกับเขา

      ฉันอยากจะเกลียดเขา เกลียดความอบอุ่นจอมปลอมของเขา... แต่ไม่รู้ทำไมเพียงแค่เขาแย้มรอยยิ้มให้ฉัน มันก็ทำให้ความโกรธเกลียดของฉันมลายหายไปจนหมดสิ้น และสุดท้าย...ฉันก็ได้แต่เกลียดตัวเอง เกลียด...ที่ไม่สามารถแม้แต่จะบังคับร่างกายตัวเองให้เป็นไปตามการสั่งการของสมองได้ เกลียด...ที่ฉันพบว่าส่วนลึกแล้วฉันยังคงต้องการที่จะสัมผัสกับรสชาติหวานล้ำที่แฝงไว้ด้วยความขมปร่าอันน่าสะอิดสะเอียนของยาพิษนั้นอีกครั้ง มันทำให้ฉันนึกถึงสิ่งที่พี่ชายของฉันเคยบอกกับฉันเอาไว้...ฉันอยากจะบอกอชิว่าตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว... เข้าใจความเจ็บปวดที่เป็นเหมือนดั่งสิ่งเสพติดที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถจะหยุดความรู้สึกถวิลหานั้นได้แล้ว

      แต่ความเกลียดที่ผ่านๆ มาของฉันก็เทียบไม่ได้เลยกับความเกลียดในอย่างสุดท้าย... ฉันเกลียดตัวเอง... เกลียดที่แม้รู้ทั้งรู้ว่ามันผิดแต่ก็ยังไม่อาจห้ามใจตัวเองไม่ให้รักได้ เกลียด...ที่ต้องยอมรับกับตัวเองว่าฉันรักเขา รักผู้ชายคนนี้... รัก... ทั้งๆ ที่รู้ว่าในที่สุดก็จะต้องพบกับความผิดหวัง...อย่างไม่มีวันที่จะหลีกเลี่ยงได้

      คิดๆ ดูแล้วมันน่าสมเพชนะที่เจ้าหญิงน้ำแข็งอย่างฉัน หญิงสาวแสนเพอร์เฟกต์ที่ไม่เคยแม้แต่จะไยดีใครจะมาตกม้าตายกับคนรักของเพื่อนสนิท มันคงเป็นชะตากรรมของฉันเอง... ชะตากรรม... ที่สั่งให้ฉันต้องชดใช้กรรม ชะตากรรม... ที่กำหนดไว้ว่าที่สุดแล้วฉันก็จะต้องบาดเจ็บเจียนตาย... เจ็บ... ให้มันสาสมกับการกระทำของฉันที่เคยทำร้ายความรู้สึกของผู้ชายคนอื่นๆ

       

      “แกลจ๋า แกลว่างไหม วันนี้อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะ” มูนเรียกฉันด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานหลังจากที่เราสามคนเรียนคลาสสุดท้ายจบในตอนเย็นวันหนึ่ง เมย์รีบเก็บข้าวของกลับบ้านไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อห้านาทีก่อน ดังนั้นจึงเหลือเพียงฉันกับมูนที่ค่อยๆ เก็บข้าวของไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน

      “หืม มีอะไรหรือเปล่า” ฉันถามด้วยความแปลกใจ เพราะปกติแล้วมูนจะไม่ค่อยชวนฉันทานข้าวสักเท่าไหร่ (ส่วนใหญ่คนที่ชวนจะเป็นเมย์มากกว่า)

      “ไม่มีหรอกจ้ะ ก็แค่...” หล่อนอึกอักนิดหนึ่งก่อนจะก้มหน้าหลบสายตาซ่อนพวงแก้มสีระเรื่อไปจากสายตาฉัน “ก็แค่วันนี้อาร์จะมาทานด้วย แค่นั้น”

      ฉันชะงักไปเมื่อได้ยินชื่อเขา... ชื่อผู้ชายที่ชอบเข้ามาวนเวียนในความคิดและในชีวิตของฉันตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ ภายในใจของฉันปวดแปลบขึ้นมาเมื่อได้ยินชื่อเขาออกมาจากปากของมูน ฉันยิ้มอย่างขมขื่น ย้ำเตือนตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ว่าเขาไม่ใช่ของฉัน ตัวจริงของเขาอยู่ตรงหน้านี่... ฉันเองก็เป็นแค่ตัวสำรอง... ตัวสำรองที่ในที่สุดก็ต้องเป็นฝ่ายถูกทิ้งให้ต้องเผชิญหน้ากับความโดดเดี่ยว

      ...แต่จะให้ฉันทำยังไง... จะให้ฉันไปทานข้าวเป็น กขค พวกเขาสองคนได้ยังไง... จะให้ฉันมองหน้ามูนยังไงในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันเอาแต่หลงละเมอเพ้อพกถึงแฟนของหล่อน!!!

      มูนจ้องฉันด้วยสายตาออดอ้อนที่ทำให้ฉันอึดอัด และไม่ทันไร... ร่างสูงของคนที่อยู่ในห้วงคำนึงของฉันก็ก้าวเดินมาอย่างช้าๆ ใบหน้าหล่อคมแย้มรอยยิ้มแจ่มใสไปให้มูนโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าฉัน

      “ทำอะไรกันอยู่ครับสาวๆ มูนนี่ชักช้าจริงเลย ทิ้งให้อาร์รอนานแล้วน้า”

      ถ้อยคำแสดงความสนิทสนม และท่าทีที่ดูเหมือนไม่เคยเห็นฉันอยู่ในสายตาเสียดลึกเข้าไปในใจจนแทบกระอัก ความเจ็บปวดแล่นริ้วไปทั่วร่างกาย บีบคั้นหัวใจดวงน้อยของฉันให้แหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี ฉันมองภาพเขาสองคนทักทายหยอกล้อกันราวกับว่าไม่มีฉันยืนอยู่ ณ ที่ตรงนั้นด้วยหัวใจที่เจ็บปวด

      ...อาร์คงรู้แล้วสินะ... คงรู้แล้วใช่ไหม... ว่าใครกันที่สำคัญที่สุด... ว่าใครกันที่แสนดีคู่ควรกับคนแบบเขา... เขาเลือกได้แล้วใช่ไหม... ถึงได้ไม่มีไยดีจนราวกับคนไม่รู้จักกันแบบนี้

      ...แล้วจะให้ฉันทำยังไง... จะให้ฉันไปทานข้าวกับเขาได้อย่างไร... ให้ฉันไป... มองดูคนที่ฉันรักออดอ้อนออเซาะเอาอกเอาใจคนอื่นต่อหน้าต่อตาโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าฉัน... จะให้ฉันทำอย่างนั้นได้อย่างไร... เพราะแค่นี้...

      ฉันเงยหน้าขึ้นกล้ำกลืนหยาดน้ำที่ขึ้นมาคลอรื้นอยู่ที่บริเวณนัยน์ตา

      ...แค่นี้ใจของฉันมันก็แทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว...

       

      แต่ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะไม่กลั่นแกล้งฉันจนเกินไปนักเมื่อฉันเห็นเงาคุ้นตาของใครบางคนกำลังเดินมาทางฉัน ฉันจึงรีบรี่เดินไปคว้าแขนของเขาไว้ทันที

      ...จะเป็นใครก็ช่าง... ขอแค่ให้พาฉันไปจากสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนตรงนี้ได้ก็พอ

      “ฉันขอโทษนะมูน แต่ฉันคงไปกับเธอไม่ได้ พอดีฉันมีนัดกับ... กับ...” ฉันเงยหน้ามองเจ้าของแขนแข็งแรงที่เกาะเกี่ยวไว้แนบแน่นก่อนจะตกตะลึงเมื่อเห็นใบหน้าของเขาได้ชัด

      ...นี่มันแบงค์...ผู้ชายที่เคยตามตื๊อฉันอยู่พักใหญ่ๆ นี่!!!

      สมองของฉันกำลังประมวลผลหาทางออกอย่างรวดเร็ว... แต่ก็ดูเหมือนฉันจะไม่มีทางให้เลือกมากนัก...

      ...ช่างเถอะ... ไหนๆ ฉันก็เดินหน้าออกมาแล้ว ยังไงซะก็คงถอยหลังกลับไปไม่ได้

      ฉันปรับสีหน้าเป็นเรียบเฉยก่อนจะหันหน้าไปทางพวกเขาสองคนพร้อมทั้งเอ่ยให้เรียบๆ

      “พอดีวันนี้ฉันนัดกับแบงค์ไว้ ไว้วันหลังเราค่อยไปกินข้าวด้วยกันใหม่นะมูน” ฉันทำเป็นไม่ใส่ใจสีหน้าตกตะลึงของเพื่อนสาวของฉันกับประกายตาเครียดขึ้งของอาร์ และหันไปยิ้มหวานกระชากใจให้แบงค์ที่ดูราวกับจะตกตะลึงไปกับทีท่าของฉันเช่นกัน แต่เพียงชั่วครู่แบงค์ก็เรียกสติตัวเองออกมาได้ เขาเอื้อมมือมาโอบเอวฉันให้เข้าไปแนบชิดกับตัวเขา ก่อนจะหันไปเอ่ยกับทั้งสองคน

      “ใช่ โทษทีนะ พอดีวันนี้ฉันมีนัดกับยัยนี่ เราตกลงกันว่าจะไปดินเนอร์กัน สองต่อสองยังไงพวกนายไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน“ เขาเน้นคำช้า...ชัด ก่อนที่จะก้มหน้าลงมาฉวยโอกาสกับแก้มฉันโดยที่ฉันซึ่งกำลังตกตะลึงกับนักแสดงที่เล่นเกินบทอย่างเขาไม่มีโอกาสได้ปัดป้อง

      “ไปกันเถอะจ้ะ เจ้าหญิงของแบงค์” ว่าแล้วเขาก็โอบฉันพาเดินออกมาจากที่ตรงนั้น ฉันพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ไม่หันไปมองหน้าเขา...หน้าคนที่กำลังกำมือแน่น นัยน์ตาสีเปลือกไม้ลุกวาบเป็นไฟอยู่เบื้องหลัง

      “ปล่อย!” ฉันสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของแบงค์ทันที่ที่ลับสายตาจากสองคนนั่น

      แบงค์หัวเราะเบาๆ แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากข้อมือของฉัน

      “เอาน่า... แกลอย่าคิดมากเลย ไหนๆ แบงค์ก็ยอมลงเรือลำเดียวกับแกลแล้วนี่ วันนี้เราสองคนก็ไปดินเนอร์ด้วยกันเลยเป็นไง จะได้ไม่ผิดคำพูด ดีไหม”

      “ทำไมฉันต้องไปกับนาย” ฉันถามนิ่งๆ อย่างระแวง... แน่นอน... ฉันไม่เคยลืมหรอกนะว่าเคยมีคนเตือนฉันเกี่ยวกับแบงค์ไว้ยังไงบ้าง และดูเหมือนแบงค์จะสามารถรับรู้ได้ถึงความหวาดระแวงของฉัน เพราะเขาปล่อยมือฉันออกเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจพร้อมกับเอ่ยยิ้มๆ

      “เอ้อ... แบงค์ไม่บังคับแกลก็ได้ แบงค์จะให้สิทธิแกลเลือก... ว่าแกล...เลือกที่จะให้โอกาสแบงค์ไหม” เขาว่าพลางยื่นมือข้างหนึ่งมาด้านหน้า

      ฉันชั่งใจนิดหนึ่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายอ่อนโยนผุดวาบขึ้นมาซ้อนทับใบหน้าของแบงค์ ฉันรู้สึกราวกับได้ยินเสียงนุ่มๆ ของเขาเอ่ยกับฉันเบาๆ

      ไปกับอาร์นะแกล... เราจะเดินไปพร้อมกันนะ

      ฉันเอื้อมมือไปวางบนมือของแบงค์อย่างเผลอไผล จิตใต้สำนึกของฉันราวกับเห็นดวงหน้าของอาร์มาซ้อนทับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า แบงค์บีบมือฉันกระชับขึ้นราวกับจะเรียกสติ มันทำให้ฉันถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้ว่าตัวเองเผลอเอามือไปวางไว้บนมือของเขา

      แบงค์ยิ้มน้อยๆ อย่างสมใจ ก่อนจะเบี่ยงตัวเพื่อพาฉันมุ่งตรงไปยังรถของเขา และทันทีที่เขาเดินออกมาจากตรงนั้น... ภาพผู้ชายนัยน์ตาสีเปลือกไม้ที่ยืนมองฉันอยู่ทางด้านหลังก็ทำให้ฉันถึงกับตกตะลึง

      “อาร์...” ฉันครางเสียงแผ่ว... มือที่กุมกระชับกับมือของแบงค์พยายามสะบัดตัวเองเป็นอิสระโดยอัตโนมัติ แต่ก็ไม่สามารถสะบัดให้หลุดได้

      อาร์มองฉันด้วยแววตาว่างเปล่าที่ทำให้ฉันเจ็บปวดขึ้นไปถึงขั้วหัวใจ ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับและเดินออกจากตรงนั้นช้าๆ

      ...ทำไม... ทำไมถึงมองฉันอย่างนั้น... ก็นายเองไม่ใช่เหรอไง... นายเอง... ที่บังคับให้ฉันต้องเลือกทางนี้

      ฉันบีบมือของแบงค์แน่น หยาดน้ำใสทิ้งตัวลงมาจากหางตาแผ่วเบา

      “ฮึก...” ฉันสะอื้นน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่ พยายามจะเบือนสายตาออกจากร่างของเขา ทำไมนะ...ทำไมเขาต้องมองฉันเหมือนว่าฉันเป็นคนผิด ทั้งที่เขาต่างหาก...เขาเองที่เป็นคนเริ่มวัฏจักรอุบาทว์นี้... ถ้าเพียงแต่วันนั้นเขาปล่อยให้ฉันวิ่งตากฝนกลับบ้านเหมือนเคย... เรื่องราวมันก็จะไม่เป็นอย่างนี้ใช่ไหม

      ทั้งๆ ที่มั่นใจว่าตัวเองทำถูก หากแต่ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมยามที่เขาหันหลังกลับมันถึงทำให้ฉันปวดร้าวได้ถึงขนาดนี้...

      ผ้าเช็ดหน้าผืนบางถูกยื่นมาจากผู้ชายตรงหน้า แบงค์ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยื่นมาเช็ดน้ำตาของฉันให้อย่างอ่อนโยน

      “ไปกับแบงค์เถอะนะครับ... อย่าไปจมความรู้สึกตัวเองกับคนที่ไม่มีค่าพอเลย...”

      ฉันส่ายหน้าเบาๆ นึกอยากเถียงว่าเขามีค่า... แต่คนที่ไม่ดีพอ... ไม่เคยมีค่าพอคือฉันต่างหาก

      ฉันปาดน้ำตาที่รินไหลออกจากแก้ม ก่อนจะแย้มรอยยิ้มขมขื่น และค่อยๆ เดินตามหลังแบงค์ที่เดินนำไปข้างหน้าช้าๆ

      ฉันจ้องมองแผ่นหลังกว้างของบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างขอบคุณ นึกเสียใจที่ตัวเองเคยทำร้ายความรู้สึกของเขาไปอย่างเลือดเย็น

      ...บางทีคงจะถึงเวลาแล้วสินะ ที่ฉันควรจะเดินออกจากวังวนเดิมๆ และลองให้โอกาสคนอื่น...ที่เดินเข้ามาในชีวิตของฉันสักครั้ง

      ด้วยความที่ฉันยังคงเศร้าสร้อยอยู่กับสายตาที่เจือความผิดหวังของอาร์ และหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง จึงทำให้ฉันไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มมุมปากอย่างสมใจของคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ไม่ได้เห็น...แม้แต่ดวงตาพราวประกายมาดหมายอะไรบางอย่างที่จ้องมองอย่างหื่นกระหายมาทางฉัน

       

      แบงค์พาฉันมาที่ร้านอาหารที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง บริกรนำเราไปยังที่นั่งมุมในสุดชิดผนังที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว เขาเลื่อนเก้าอี้ให้ฉันนั่งลงก่อนอย่างสุภาพ ก่อนจะเดินไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้าม เขายื่นเมนูมาให้ฉันสั่งอาหารก่อนที่ตัวเองจะสั่งตามหลัง

      “น้องครับ ขอวิสกี้ขวดนึงด้วยนะครับ” แบงค์เสริมกับบริกรสาวเสียงนุ่ม ก่อนจะหันหน้ามาชวนฉันคุยอย่างร่าเริง

      ฉันขมวดคิ้วนิดๆ กับรายการเครื่องดื่มที่แบงค์สั่ง บ้าจริง! ฉันดื่มแอลกอฮอล์เป็นซะที่ไหนกันเล่า

      บริกรนำวิสกี้มารินให้ฉันกับแบงค์ ก่อนที่จะเดินออกไปอย่างนอบน้อม

      ฉันเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นนิดหนึ่งเมื่อได้ฟังแบงค์เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ แต่บางทีก็ยังอดยอมรับกับตัวเองไม่ได้ว่าตัวฉันไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่เขาพูดเลยแม้สักนิด เผลอทีไรก็ยังคิดถึงดวงตาตาสีน้ำตาลคู่คมที่ไม่ควรคิดถึง ดวงตา...ที่ฉายแววเจ็บปวดยามมองมาทางฉันกับแบงค์ที่เดินจับมือออกมาพร้อมกัน

      ฉันสะบัดหน้าไล่ความคิดคำนึงที่ไม่ควรคิด ก่อนที่จะยกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่เคยดื่มมาก่อนเลยในชีวิตขึ้นมาดื่มอึกๆ อย่างเอาเป็นเอาตายจนหมดแก้ว

      แบงค์ผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาที่มุมปากตอนที่ฉันไม่ทันได้เห็น ก่อนที่มือของเขาจะเอื้อมไปหยิบเหล้ามารินเติมให้ฉันอีกเรื่อยๆ

      ฉันดื่มมันเข้าไปหลายแก้วจนเริ่มรู้สึกมึนๆ คำพูดที่ฉันไม่เคยแม้แต่จะพูดให้ใครฟังหลั่งไหลออกมาจากริมฝีปากของฉัน

      “ฮึก... ฉันไม่น่า... ไม่น่าไปรู้จักเขาเลย... ฉันไม่ควรตอบรับความช่วยเหลือของเขาเลย... ทำไมฉันถึงได้เป็นคนแบบนี้กันนะ... ทำไมฉันต้องไปตกหลุมรักของของคนอื่นอย่างนี้ด้วย...”

      “ความรักห้ามกันไม่ได้หรอกครับ” แบงค์เอ่ยเบาๆ พร้อมกับรินวิสกี้ใส่แก้วให้ฉัน

      “นายรักฉันหรือเปล่า...” ความอ้างว้างโดดเดี่ยวบวกกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ฉันถามแบงค์ไปแบบนั้น แบงค์มองหน้าฉันอย่างหลงใหลก่อนจะเอ่ยเบาๆ

      “รักสิครับ... แบงค์รักทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวของแกล...” มือของเขาเกลี่ยไปมาที่แก้มของฉันอย่างอ่อนโยน

      “จริงนะ...” ฉันถามย้ำ  “นายไม่ได้โกหกฉันนะแบงค์ นายจะไม่มีวันทิ้งฉันไปใช่ไหม...”

      “ไม่ครับ...” เขายืนยันเสียงนุ่ม ฉันซัดของเหลวสีอำพันเบื้องหน้าเข้าสู่ริมฝีปาก ความขมของมันที่ไหลลงคอทำให้สติของฉันเริ่มรางเลือน ฉันพร่ำคำพูดออกมาอีกหลายประโยคเกี่ยวกับความปวดร้าว และความอดทนที่ฉันต้องทนมาทั้งหมดจนกระทั่งฝ่ามือหนาของแบงค์ยุดแก้วใบใสที่ฉันถือไว้ให้ห่างจากริมฝีปากฉัน

      “อย่าเอาไปนะ” ฉันขู่ฟ่อ “เอามันมาให้ฉัน” ฉันเอื้อมมือไปจะคว้าแก้วใบนั้นคืน แต่ความรู้สึกโยกคลอนก็ทำให้มือของฉันที่เอื้อมออกไปไม่มั่นคงเท่าที่ควร ฉันเซถลาจนแทบจะตกเก้าอี้ ถ้าหากจะไม่มีอ้อมแขนแข็งแรงของใครบางคนมาประคองตัวฉันไว้

      “พอเถอะครับ...แกลเมามากแล้วนะ” แบงค์เอ่ยเบาๆ พร้อมกับประคองให้ฉันนั่งลงที่เดิม เขาเลื่อนเก้าอี้ของตัวเองมาไว้ข้างๆ ฉัน

      “ไม่... ฉันไม่เมา... เอาแก้วมาให้ฉัน”

      แบงค์ส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วของฉันมาให้ ฉันยกมันขึ้นแนบชิดกับริมฝีปากก่อนจะกลืนกินของเหลวสีอำพันเข้าไปอย่างเอาเป็นเอาตาย

      เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว... ฉันนั่งซดเหล้าไปเรื่อยๆ ในขณะที่เขาก็นั่งมองฉันไม่วางตา ไม่นานนักความมึนงงก็ทำให้ฉันก็ไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไปว่าฉันไม่เมา มือที่ถือแก้วของฉันเริ่มโคลงเคลง ฉันเห็นแบงค์เรียกบริกรมาเก็บเงิน แล้วจึงหันมาโอบเอวฉันที่ไม่มีแม้แต่แรงดิ้นให้ลุกขึ้นยืน ก่อนที่จะประคองพาออกไปขึ้นรถที่จอดรออยู่หน้าร้าน ฉันรู้สึกว่าโลกรอบกายหมุนคว้าง และค่อยๆ มืดสนิทลงเรื่อยๆ จากนั้นก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย...

       

      ฉันรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีเมื่อสัมผัสได้ถึงริมฝีปากอุ่นร้อนที่กำลังแนบสนิทซุกไซ้อยู่ที่ซอกคอของฉัน ฉันสะดุ้งพรวดขึ้นมาจากเตียงก่อนจะมองหน้าผู้ชายซึ่งกำลังทาบทับอยู่กับร่างของฉันอย่างมึนงง สมองที่เริ่มสร่างเมาค่อยๆ ประมวลผลเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างช้าๆ

      ฉันหลบมูนกับอาร์มาดินเนอร์กับแบงค์ เขาสั่งวิสกี้มาเหมือนจะรู้ว่าฉันต้องการที่จะลืมเรื่องราวบางอย่าง และด้วยความเสียใจ... ฉันจึงเผลอดื่มน้ำนรกนี่ไปอย่างไม่บันยะบันยัง ในขณะที่แบงค์เองก็รินเติมให้ฉันเรื่อยๆ

      ...ให้ตายสิ! ฉันถูกมอมเหล้า!!!

      ฉันกวาดสายตามองไปรอบตัว ฉันกำลังอยู่ในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง ลักษณะคล้ายห้องในโรงแรมม่านรูดที่ฉันเคยเห็นบ่อยๆ ในทีวี ฉันตั้งสติก่อนจะสำรวจความผิดปกติของร่างกายตัวเอง แล้วก็รู้สึกโล่งใจที่ไม่พบความผิดปกติใดๆ ที่เป็นสัญญาณว่าฉันได้พลาดท่าเสียทีไอ้ผู้ชายเลวทรามพรรค์นี้ไปแล้ว ฉันรู้สึกได้ถึงจมูกโด่งเป็นสันที่ค่อยๆ เลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ

      “ไม่นะ! ปล่อย!!” ฉันกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับพยายามผลักเขาให้ห่างจากตัวฉัน แบงค์หัวเราะอย่างพอใจกับท่าทีขัดขืนของฉันก่อนที่เขาจะกระซิบริมหูด้วยน้ำเสียงหื่นกระหาย

      “อย่าขัดขืนเลยน่าแกล... แบงค์สัญญาว่าคืนนี้แกลจะมีความสุขจนลืมไม่ลงเลยล่ะ”

      ฉันตัวสั่นวูบ ขนลุกวาบไปด้วยความตื่นกลัว พยายามสลัดตัวให้หลุดออกจากการเกาะกุมของผู้ชายกักขฬะตรงหน้า หากแต่มือแข็งแกร่งราวคีมเหล็กเป็นดั่งปราการชั้นดีที่พันธนาการไว้ไม่ให้ฉันไปไหนได้

      “ปล่อยฉันนะแบงค์ ปล๊อยยยย!!!

      ฉันดิ้นพล่าน พยายามทั้งเตะทั้งถีบทุกวิถีทางหวังจะให้แบงค์คลายฉันออกจากวงแขน แต่ก็ไร้ผล เขายังคงทำเหมือนกับแรงของผู้หญิงอย่างฉันไม่มีผลอะไรต่อเขาเลยแม้สักนิด

      “ช่วยด้วยยยยยยยยย... ช่วยด้วย!!! ใครก็ได้ช่วยที!!!” ฉันกรีดร้องเสียงดัง ประกายความไม่พอใจผุดวาบเข้ามาในดวงตาของแบงค์ราวกับดวงตาของสัตว์ร้าย ฝ่ามือหนาตวัดตบลงมาอย่างแรงบนแก้มฉันจนชาวาบไปทั้งหน้า ริมฝีปากแตกเป็นรอยจนรู้สึกได้ถึงรสเค็มปร่าของเลือดติดปลายลิ้น ฉันทรุดฮวบลงไปกองกับเตียงอย่างหมดแรง จากหางตาเห็นแบงค์แย้มรอยยิ้มด้วยสีหน้าอำมหิต...

      “ฤทธิ์มากนักนะ!! พูดดีๆ เสือกไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลังรึไงกัน เห็นมั้ย” มือสากระคายลูบแก้มของฉัน “ผิวสวยๆ ต้องเป็นรอยเพราะความดื้อของแกลแท้ๆ เลย”

      ว่าจบเขาก็จัดการกระชากเสื้อนักศึกษาของฉันจนขาดหลุดลุ่ย เนินอกขาวผ่องสะท้อนออกมาจากดวงตาหื่นกามของแบงค์

      “ไม่นะ... ออกไป...” ฉันสะอื้น หยาดน้ำเข้ามาคลอคลองอยู่ในดวงตาของฉัน หากแต่เขาก็ไม่สนใจแม้สักนิด ยังคงกระทำย่ำยีอย่างไม่มีความปราณีใดๆ

      “ฮึก... อาร์... อาร์... ช่วยแกลด้วย...”

      ฉันหลับตาลงอย่างอ่อนล้า... ยามที่จิตใจบอบช้ำถึงขีดสุดสิ่งแรกที่นึกถึงก็คือเขา... เขาคนนั้น... เจ้าของนัยน์ตาสีเปลือกไม้ที่ไม่ว่าจะมองเมื่อไหร่ก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ส่องวาบมาให้ฉันเสมอๆ ทุกครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะทำร้ายจิตใจของฉันอย่างแสนสาหัสจนแทบจะขาดวิ่นไปทั้งดวง... แต่ฉันก็ไม่สามารถจะบังคับตัวเองให้เกลียดเขาได้เลย

      ใบหน้าหล่อคมที่ถูกตัณหาราคะเข้าครอบงำก้มต่ำมา มือแกร่งยื่นออกไปหมายจะกระทำการจาบจ้วงหยาบคาย...

      แต่แล้ว...

      ปัง!!!

      เสียงประตูถูกพังเข้ามาดังสนั่นพร้อมๆ กับน้ำหนักที่กดทับร่างของฉันถูกกระชากออกไป

      ฉันลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ... ชายที่อยู่ในห้วงคำนึงของฉัน กำลังจัดการชกหน้าแบงค์อย่างโกรธแค้น ปากพร่ำคำผรุสวาทออกมาหยาบคายจนจับใจความไม่ได้ และทันทีที่อาร์หันมาเห็นฉัน... เขาก็รัวหมัดเข้าใส่แบงค์อีกครั้งอย่างแรงจนเขาสลบเหมือดไป ก่อนที่จะพุ่งตรงมาหาฉัน

      “แกล...” ดวงตาคมปลาบกวาดมองไปทั่วร่างที่บอบช้ำของฉัน เขาเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวฉัน ก่อนจะดึงฉันเข้าไปกอดไว้แน่น ถ้อยสั่นระริกถูกเปล่งออกมาจากลำคอของเขา ฉันรู้สึกได้ถึงหยาดชื้นที่หยดลงมากระทบหัวไหล่

      “อาร์ขอโทษ... เพราะอาร์... เพราะอาร์คนเดียว แกลถึงต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้... ฮึก... แกล... ยกโทษให้อาร์ด้วย อย่าเกลียดอาร์เลยนะ อาร์ขอร้อง... เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นอีกครั้ง...อาร์คงอยู่ไม่ได้...”

      ฉันยกแขนโอบรอบตัวเขา ซบใบหน้านิ่งกับไหล่กว้าง ราวกับจะบอกเขาด้วยการสัมผัสว่าไม่ต้องกลัว... ยังไงฉันก็ไม่มีวันเกลียดเขาได้ เพราะแม้ว่าฉันจะพยายามหนีให้ห่างเขาเท่าไร... สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นคนมาช่วยฉันไว้จากอันตรายที่สุดอยู่ดี

      สายตาฉันหันไปมองที่หน้าประตูห้อง และก็เห็นใบหน้าของเพื่อนสนิทของฉัน... ยืนยิ้มมองฉันอยู่ที่หน้าประตูกับพี่ไมล์ ฉันสะดุ้งเฮือกก่อนจะผลักอาร์ออกไปจากตัวทันที พร้อมทั้งเขยิบตัวออกห่าง

      “แกล... ทำไม...” เขามองฉันอย่างงุนงง หยาดน้ำอุ่นร้อนซึมชื้นมาอยู่ที่หัวตาของฉัน

      ...ฉันทำอย่างนี้ได้ยังไง ฉันกอดกับผู้ชายของเพื่อนต่อหน้าเพื่อนสนิทของฉัน... ฉันทำได้ยังไง!!!

      “มันไม่ใช่อย่างนั้นนะมูน” ฉันรีบละล่ำละลักบอกออกไป “ฉันกับอาร์ไม่ได้เป็นอะไรกันนะ”

      ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ... ทั้งมูน และพี่ไมล์มองมาทางฉันด้วยสายตางุนงง อาร์มองฉันด้วยสายตาตัดพ้อ

      “หมายความว่ายังไง... ที่แกลบอกว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกันน่ะ” น้ำเสียงของเขาทอแววขึ้งเครียด แต่ความกลัวว่ามูนจะเข้าใจผิดของฉันมีมากจนเกินกว่าที่ฉันจะสนใจท่าทีของเขา ฉันหันไปเขย่าแขนอาร์อย่างร้อนรน

      “บอกมูนไปสิอาร์ ว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ว่านายไม่ได้คิดอะไรกับเรา”

      อาร์มองฉันด้วยสายตาเย็นชา “ไม่... เพราะมัน...ไม่ใช่ความจริงเลยสักนิด”

      “หมายความว่ายังไง” ฉันแทบจะกรี๊ดด้วยความอัดอั้น ...ให้ตายสิ! ผู้ชายที่ฉันชอบเป็นคนเห็นแก่ตัวขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย

      “เพราะเรารักแกล”

      เขาสวนออกมาทันทีด้วยคำพูดที่ทำให้ฉันนิ่งอึ้ง... การบอกรักครั้งแรกของเขาสร้างความเจ็บปวดให้แล่นริ้วไปทั่วได้อย่างมากมายเหลือเกิน...

      “นายพูดอย่างนี้ได้ยังไง” ฉันเอ่ยเสียงเครือ... “นายพูดว่ารักฉัน... ต่อหน้าคนที่เป็นแฟนนายได้ยังไง!!

      อาร์นิ่งอึ้งไปเมื่อจบคำพูดของฉัน ก่อนที่ทั้งสามคนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น

      “ฮ่าๆๆๆ แกล นี่อย่าบอกนะว่าเธอคิดว่าน้องสาวพี่เป็นแฟนกับไอ้หมอนี่” พี่ไมล์เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อนอย่างขบขัน ฉันมองหน้าทั้งสามสลับกันไปด้วยความงุนงง

      “ใช่ ฮะๆๆๆ เธอคงไม่คิดหรอกนะว่าฉันจะคว้ายัยตัววุ่นอย่างนี้มาเป็นแฟน โอ๊ยย... ให้ฟรีแถมข้าวสารสิบกระสอบฉันยังไม่เอาเลย” อาร์กระเซ้ามูนด้วยน้ำเสียงขี้เล่น เจ้าหล่อนค้อนขวับในขณะที่ฉันรู้สึกเหมือนถูกค้อนอันใหญ่มโหฬารทุบเข้าใส่หัว

      “มะ...หมายความว่ายังไง” ฉันพูดติดอ่างด้วยความงุนงง มูนเดินเข้ามาหาฉันช้าๆ ดวงหน้ามีรอยยิ้มขบขัน

      “มิน่า... เราก็ว่าอยู่ว่าทำไมดูแกลถึงได้ปิดบังเรื่องอาร์กับเราจัง นี่ยัยเมย์ก็บ่นสงสัยอยู่ตั้งนานแล้ว ฟังให้ดีนะจ๊ะแกล...” หล่อนจับไหล่ฉันไว้แน่น ยิ้มบางๆ “ฉันกับอาร์ไม่ได้เป็นแฟนกัน... และจะไม่มีวันเป็นด้วย... เพราะคนที่อาร์รัก... ไม่ใช่เรา... และไม่เคยเป็นเรา...” ดวงตาของหล่อนทอประกายหมองหม่นขึ้นมาแวบหนึ่งอย่างที่ฉันไม่ทันได้สังเกตเห็น “อาร์เขามองแต่แกลมาตลอด... มองแต่แกลคนเดียว...”

      ฉันนิ่งไป คำพูดของมูนซึมซาบเข้าสู่จิตใจของฉันอย่างช้าๆ

      “แกลรู้มั้ย... ทำไมวันนั้นมูนถึงพาอาร์มารู้จักกับแกล” ฉันส่ายหน้าน้อยๆ หล่อนยิ้มบางๆ ให้ฉันก่อนจะพูดต่อ “แกลจำรูปถ่ายของพวกเราสามคนได้มั้ย...” ฉันพยักหน้า... จะจำไม่ได้ได้ยังไงกันล่ะ ในเมื่อรูปนั้นเป็นรูปที่พวกเราสามเพื่อนรักตัดสินใจนำมันใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์ของเราคนละใบ เพื่อเป็นการย้ำเตือนว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราจะมีกันและกันอยู่เสมอ มูนยิ้มน้อยๆ อย่างพอใจ

      “นั่นแหละ มีอยู่วันนึงอาร์มาหาพี่ไมล์ที่บ้าน แล้วบังเอิญเห็นรูปนั้นของมูน เขาชี้ไปที่แกลแล้วถามทันทีว่าใคร” หล่อนหัวเราะน้อยๆ “แล้วพอมูนตอบกลับไปว่าแกล เพื่อนสนิทมูนเอง เท่านั้นล่ะได้เรื่อง... อาร์รบเร้ามูนทุกวิถีทางจนมูนใจอ่อนยอมพาเขามาเจอแกล แต่ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมถึงทำให้แกลเข้าใจผิดไปได้ว่ามูนกับอาร์เป็นแฟนกัน”

      ฉันยิ้มเจื่อน ก้มหน้านิ่งอย่างตอบอะไรไม่ถูก จึงไม่ทันได้เห็นว่าเพื่อนสนิทของฉันค่อยๆ ย่องไปคว้าแขนพี่ไมล์ซึ่งกำลังลากซากร่างของแบงค์ออกไปจากห้องช้าๆ รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อได้ยินเสียงประตูห้องปิดดังคลิก ก่อนที่จะพบว่าในห้องเหลือเพียงฉันกับอาร์แค่สองคน

      “แกลจ๋า...” เขากระซิบพร้อมเดินเข้ามานั่งลงข้างๆ ฉัน มืออบอุ่นคว้ามือฉันไปกุมเอาไว้ “รู้มั้ยทำไมอาร์ถึงสนใจแกล”

      ฉันส่ายหน้า เขายิ้มให้ฉันอย่างอบอุ่นก่อนที่จะแสร้งเอ่ยตัดพ้อ “เฮ้อ... ในที่สุดแกลก็ลืมอาร์ไปแล้วจริงๆ ด้วย... ทั้งๆ ที่อาร์จำแกลได้มาตลอดแท้ๆ”

      ฉันมองหน้าเขาด้วยความงุนงง “นะ...นาย หมายความว่ายังไง”

      อาร์อมยิ้ม... รวบตัวฉันเข้าไปกอดไว้หลวมๆ วางคางเกยบ่าของฉันเอาไว้ “แกลจำอาร์ไม่ได้จริงๆ เหรอ เด็กชายอารัณย์... เด็กชายอ่อนแอที่ชอบเดินมานั่งอ่านหนังสือกับเด็กหญิงกัญญาณัฐในห้องสมุดทุกวันไง จำไม่ได้จริงๆ เหรอ”

      ฉันนิ่งอึ้ง... ราวกับมีกุญแจดอกโตมาเปิดไขกล่องความทรงจำ เหตุการณ์ที่ลืมไปแล้วค่อยๆ ไหลกลับคืนมาสู่สมองของฉันช้าๆ

      ภาพเด็กชายใส่แว่น ตัวเล็กผอมจนราวกับจะหักได้ในมือเดียวผุดขึ้นมาในความทรงจำ

      ตอนนั้นเป็นตอนที่ฉันอยู่ ม.ต้น ด้วยความที่ฉันเป็นคนเย็นชา แสดงความรู้สึกไม่เป็น จึงทำให้ฉันไม่มีเพื่อนเลยสักคน ดังนั้นที่เดียวที่เหมาะสมกับเด็กหญิงรักสันโดษอย่างฉันก็คือห้องสมุด... ฉันจะชอบไปนั่งขลุกอยู่ในนั้นเสมอๆ และฉัน...จะได้พบเจอกับเด็กชายร่างเล็ก ผู้ซึ่งเป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์อยู่ที่ห้องสมุดเป็นประจำทุกวัน

      จากการที่เห็นกันบ่อยๆ ทำให้ความสัมพันธ์ของเราค่อยๆ ถักทอขึ้นอย่างช้าๆ เริ่มจากรอยยิ้ม เป็นคำทักทาย และกลายเป็นพูดคุย ฉันกับเขาเริ่มสนิทกันมากขึ้น ทุกครั้งที่ฉันเข้ามาในห้องสมุด เขาจะผละจากเคาท์เตอร์ยืม-คืนมาหาฉัน พร้อมทั้งหยิบหนังสือเล่มหนาหนักมานั่งอ่านเป็นเพื่อน และนั่นเป็นครั้งแรก... ที่ชีวิตของฉันไม่ได้สัมผัสกับความโดดเดี่ยว

      ฉันกับอารัณย์สนิทกันมาก แต่ด้วยความที่โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนประหลาดที่เรียกชื่อจริงกันแทนชื่อเล่น จึงทำให้ฉันเรียกชื่อจริงของเขามาตลอดและไม่เคยสนใจที่จะไถ่ถามชื่อเล่นของเขา แต่แล้วอยู่ดีๆ อารัณย์ก็หายไป เขาจากไปอย่างไร้ร่องรอย... ฉันไม่เคยได้พบเขาอีกเลยตั้งแต่วันนั้น ไม่ว่าจะไปไถ่ถามใครก็ไม่มีใครรู้ อาจารย์ที่ห้องสมุดก็บอกฉันเพียงแค่ว่าเขาย้ายโรงเรียนไปแล้ว... ความโดดเดี่ยวเข้ามาเกาะกุมชีวิตของฉันอีกครั้ง และครั้งนี้มันได้มีความเจ็บปวดของการสูญเสียแทรกเข้ามาในทุกอณูของความรู้สึก ในครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เด็กผู้หญิงเย็นชาอย่างเด็กหญิงกัญญาณัฐร้องไห้... และเธอก็ได้ตั้งปณิธานกับตัวเองไว้ว่าเธอจะลืมให้หมด... ลืมเรื่องราวที่ทำให้เธอเสียใจ เธอจะลืมเขา... ลืมคนที่เคยผูกพันกันไปจนไม่เหลือแม้เศษเสี้ยวของความรู้สึก

      กาลเวลาผ่านไป... หลายสิ่งหลายอย่างผ่านเข้ามาในชีวิตของเธอ และเธอคนนั้นได้เติบโตขึ้นมาเป็นฉัน... เป็นเจ้าหญิงน้ำแข็งแสนเย็นชา เด็กชายอารัณย์ค่อยๆ หายไปจากความคิดความรู้สึกของฉันอย่างช้าๆ เขาเป็นเหมือนหนึ่งตะกอนในส่วนลึกที่สุดของความทรงจำที่ถูกปิดตาย จนมาถึงวันนี้... ฉันก็ได้ลืมเลือนเขาดังปณิธานไปได้อย่างสมบูรณ์

      แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น...ก็เหมือนกับตะกอนนั้นได้ถูกกวนจนขุ่นขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึก... ความผูกพัน... ความถวิลหาประเดประดังกันเข้ามาในจิตใจของฉัน สองมือสั่งระริกถูกยกขึ้นไปสัมผัสใบหน้าของอาร์อย่างช้าๆ

      “อารัณย์... เป็นเธอ... เธอจริงๆ ใช่ไหม...” หยาดน้ำอุ่นร้อนไหลซึมจากหางตาก่อนจะกลิ้งตัวลงมาตามใบหน้า ฉันโผเข้าไปรัวกำปั้นใส่เขาอย่างไม่ยั้ง

      “ฮึก... คนบ้า นายทิ้งฉันไปได้ยังไง ทิ้งฉันไปทำไม อารัณย์ รู้มั้ยว่าฉันเหงาแค่ไหน ฉันต้องโดดเดี่ยวขนาดไหนเคยรู้บ้างหรือเปล่า”

      อารัณย์ไม่ปัดป้อง... เขากัดฟันอดทนให้ฉันทุบตีระบายความเจ็บแค้นของการถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวจนกว่าจะพอใจ ไม่นานนักฉันก็หมดแรง สองมือที่ใช้ฟาดใส่เขาเมื่อสักครู่ เหลือเพียงแค่เกาะแขนเขานิ่ง อารมณ์ความรู้สึกหลากหลายที่ต่างประเดประดังถาโถมเข้ามาใส่ฉันพากันกลั่นตัวเป็นหยาดน้ำใสไหลรินลงมาอย่างไม่ขาดสาย

      อาร์โอบกระชับรอบตัวฉันแน่น... เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นปลอบประโลม แต่แฝงไปด้วยความหนักแน่น...จริงจังในทุกอณูของถ้อยคำ

      “อย่าร้องนะแกล... อย่าร้อง... ฉันมาแล้ว... กลับมาหาเธอแล้วนะกัญญาณัฐ และฉันสัญญา... คราวนี้จะไม่มีวันจากเธอไปไหนอีก...”

      “นายไปไหนมา...” ฉันสะอื้นฮัก... คำถามถูกเปล่งออกมาจากลำคออย่างยากลำบาก “ทำไมนายต้องทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียวด้วย...”

      “ฉันขอโทษ” เขาเอ่ยเบาๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเต็มไปด้วยความหมองหม่น “เธอจำวันสุดท้ายที่เราเจอกันได้ไหม...” ฉันพยักหน้าเล็กน้อย เขาจึงเล่าต่อ “นั่นแหละ... วันนั้น... เป็นวันที่ฉันได้รับข่าวร้ายที่สุดในชีวิตของฉัน...”

      เขาหยุดนิดหนึ่ง... ความทรงจำเมื่อแปดปีก่อนหลั่งมาจากริมฝีปากบางราวกับสายน้ำที่หลั่งทะลัก

      อาร์เล่าให้ฉันฟังว่าในวันนั้น... วันที่ฉันได้เจอกับเขาครั้งสุดท้าย เย็นนั้นเขากลับบ้านไปและได้มีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลมาหาเขาว่าบิดามารดาของเขาได้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตลง เขารู้สึกราวกับโลกถล่มลงมาตรงหน้า และหลังจากนั้น... น้าของเขาที่อยู่ที่ต่างประเทศจึงได้มารับตัวเขาไปดูแลอย่างกะทันหันจนไม่มีเวลาแม้แต่จะล่ำลาใคร...

      ความโกรธเคืองทั้งหลายของฉันสลายไปเป็นปลิดทิ้งหลังจากที่ฉันได้รับฟังเรื่องราวเหล่านั้นจบ รู้สึกเสียใจที่ตัวเองเผลอเข้าใจเขาผิดไป มัวแต่ใช้อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวตัดสินจนไม่ได้คิดถึงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาได้สูญเสียอะไรไปมากมายขนาดไหน...

      “แกลรู้ไหม...” เขาเอ่ยอย่างขมขื่น “อาร์ก็คงไม่ต่างจากแกลสักเท่าไหร่หรอก... ชีวิตหลายปีที่ผ่านมามันทรมานมาก... ทรมานจนอาร์ไม่อยากจะคิดถึง อาร์ต้องไปอยู่ในสังคมใหม่... ที่ไม่เคยรู้จักและไม่เคยคุ้นชิน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะดีกับอาร์แค่ไหน... แต่ยังไงมันก็ไม่สบายใจเหมือนอยู่บ้าน... โดยเฉพาะ...”

      เขาหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะมองฉันด้วยสายตามีความหมาย...

      “เมื่อหัวใจของอาร์ยังอยู่ที่นี่”

      ฉันหน้าร้อน... ก้มหน้าหลบสายตาพราวประกายของเขาอย่างเขินอาย

      “แกลจ๋า...” เขาเรียกชื่อฉันเสียงหวาน “รู้ไหมว่าอาร์ดีใจแค่ไหนตอนที่ได้เห็นรูปแกลในกระเป๋าสตางค์ของมูน ดีใจ...ที่ในที่สุดอาร์ก็ได้เจอแกลอีกครั้ง ดีใจ...ที่แกลไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อมอย่างที่อาร์เคยคิด...” เขาเชยคางฉันขึ้นให้สบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคู่คมนิ่ง “และทันทีที่อาร์ได้เจอแกล... อาร์ก็ได้รู้ว่าอาร์รักแกลมากแค่ไหน... รักมาก... รักมาตลอด... รักมาตั้งแต่ตอนที่อาร์ได้แต่แอบมองแกลอยู่ไกลๆ ในห้องสมุด กาลเวลาที่ผ่านไปมันไม่ได้ทำให้ความรู้สึกที่อาร์มีต่อแกลลดลงไปเลยสักนิด... มันมีแต่จะเพิ่มขึ้น... เพิ่มขึ้นทุกๆ วัน”

      ฉันยิ้มให้เขา นัยน์ตาคลอไปด้วยหยาดน้ำแห่งความตื้นตัน สองมือโอบกระชับร่างของเขาแน่น ดีใจ...ที่ฉันในที่สุดฉันก็ได้ความรักกลับคืนมาอีกครั้ง และไม่ใช่แค่ได้ความรักคืนมาเท่านั้น... แต่ฉันยังได้เพื่อนเก่า... เพื่อนคนแรกที่เห็นค่าของฉัน... กลับคืนมาอีกครั้ง...

      “อาร์บอกความรู้สึกของอาร์แล้วนะ” เขากระซิบอยู่ชิดริมหู “แกลล่ะ... มีอะไรจะบอกอาร์หรือเปล่า”

      ฉันหน้าร้อน เบือนหน้าหลบสายตาที่เต็มไปด้วยความหมายของเขา อาร์อมยิ้มอย่างถูกใจกับใบหน้าที่แดงระเรื่อของฉัน

      จุ๊บ

      ฉันยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มเขาเบาๆ อาร์หันมามองหน้าฉันที่หน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุดอย่างตื่นตะลึง

      “การกระทำ... คงบอกได้มากกว่าคำพูดใช่มั้ย” ฉันพูดอายๆ เขายิ้มกว้างก่อนจะกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ฉันซุกหน้ากับแผ่นอกกว้างพร้อมกับยิ้มบางๆ อย่างเป็นสุข

      ...อาร์จ๋า แกลก็รักอาร์เหมือนกัน... ความรักของแกลอาจจะไม่ได้ยาวนานเท่าความรักของอาร์ แต่แกลก็มั่นใจนะ... ว่าแกลรักอาร์... รัก...ไม่ได้น้อยไปกว่าที่อาร์รักแกลเลย...

      “เอ... อาร์ว่าเรารีบออกจากที่นี่ดีกว่านะ... ขืนอยู่นานกว่านี้อาร์ชักจะไม่รับรองความปลอดภัยของแกลซะแล้วสิ” เขาเอ่ยยิ้มๆ ฉันมองเขาด้วยสีหน้างงงวย แต่เมื่อได้เห็นประกายตาพราวระยับที่สื่อความหมายมากมายของเขาพร้อมกับใบหน้าที่โน้มเข้ามาใกล้ก็ทำให้ฉันทุบอั้กไปที่ต้นแขนเขาเข้าให้อย่างหมั่นไส้

      “บอกรักในม่านรูด ไม่โรแมนติกเลยแฮะ” ฉันแกล้งบ่นเบาๆ และได้เห็นอาร์ตีหน้ายุ่งเป็นคำตอบรับ หน้าคมขึ้นสีเรื่อเล็กน้อย

      “งั้นเอาคืนมา เชอะ วันหลังไม่บอกแล้ว” อาร์หน้าบูด ดวงหน้าคมเชิดขึ้นเล็กน้อย จากชายหนุ่มเคร่งขรึมกลายเป็นเด็กน้อยขี้งอนไปเสียแล้ว ฉันยิ้มขำกับท่าทางน่ารักของเขา ซบหน้าเข้ากับต้นแขนแข็งแกร่ง เอ่ยเบาๆ

      “ไม่ให้... ไม่ว่าอาร์จะทำยังไงก็จะไม่มีวันได้คำว่ารักคืนไปจากแกลเด็ดขาด...” ฉันเงยหน้าขึ้นมองสบนัยน์ตาสีเปลือกไม้ที่มองมาอย่างอ่อนโยน “...เพราะว่าแกลก็รักอาร์เหมือนกัน”

       

      วันเวลาดีๆ เหล่านั้น... เธอยังคงจำมันได้ไหม

      วันที่เคยร่วมทุกข์และสุขจนล้นหัวใจ วันที่เราได้ผ่านมาด้วยกัน

      แต่ว่าเวลาที่ผ่านพ้นไป... อาจจะทำให้ใจของใครลืมสิ่งนั้น

      อยากจะมีเพลงเพลงนึง ถ่ายทอดเรื่องราวเป็นพันๆ ให้เธอรู้

       

      “แกลยังจำเพลงนี้ได้ไหม” อาร์เอ่ยกับฉันในขณะที่เขากำลังขับรถจะไปส่งฉันที่คอนโด มือหนาค้นหาอะไรกุกกักก่อนจะใส่เทปม้วนหนึ่งเข้าไปในเครื่องเล่น เสียงเพลงหวานใสที่ฉันเคยได้ฟังอยู่ที่ริมบ่อน้ำล่องลอยมากระทบโสตประสาทของฉันแผ่วเบา

      ฉันอมยิ้ม ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ เพลงเพลงเดิม... กับคนคนเดิม... สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม ก็คงจะเป็นแค่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว... เข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อผ่านบทเพลงนี้แล้ว และฉันก็มั่นใจ... ว่าสายใยของความรัก...ความผูกพันของสองเราที่ได้พันผูกกันไว้แนบแน่น จะคงอยู่เช่นนี้เรื่อยไป...นานตราบนิจนิรันดร์

       

      ให้ทุกๆ ครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ก็ขอให้รู้ที่แห่งนี้ นั้นยังมีรักอยู่

      เคยเป็นยังไงในตอนนี้ขอให้รู้ ว่าจะไม่มีเปลี่ยนไป

      และทุกๆ ครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ ก็ขอให้รู้ที่ตรงนี้ ไม่ว่าจะนานเท่าไร

      เราจะมีกันและกันเป็นหนึ่งในดวงใจตลอดไป

      ก็เพราะหัวใจเราผูกกัน

       

      Special R Talks~!!!

          

           สวัสดีครับทุกๆ คน อารัณย์มารายงานตัวแล้วคร้าบบบ!!!

           ฮะๆ ^-^ จริงๆ แล้วผมก็ไม่อยากเขียนเท่าไหร่หรอกครับ ถ้าจะไม่โดนยัยเจ้าหญิงน้ำแข็งที่ตอนนี้น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นเจ้าหญิงจอมโหดมากกว่าบังคับ (โอ๊ยยย! เจ็บคร้าบบบ แกลใจร้าย บิดผมทำไมอ่า TOT)

           ผมดีใจมากเลยรู้มั้ยครับ ที่ตอนนี้แกลไม่ได้เป็นคนเย็นชาอีกต่อไปแล้ว (อย่างน้อยก็สำหรับผมล่ะน่า) เธอออกจะน่ารักด้วยซ้ำไป ทุกครั้งที่เธอยิ้มให้ผม... มันทำให้ผมรู้สึกราวกับว่า...ผมเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก

           ผมนึกถึงเรื่องราวเมื่อแปดปีก่อน... เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ น่ารัก ผิวขาวอมชมพู ผมยาวสีดำสนิทถูกถักเป็นเปียเดี่ยวไว้ด้านหลัง ทุกอย่างดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบ เว้นแต่ใบหน้าที่แสดงอาการเฉยชาอยู่เป็นนิจ ดูคล้ายรูปปั้นที่บรรจงสลักเสลามาอย่างงดงาม แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น... ก็ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน... ที่ผมรู้สึกว่าเบื้องหลังหน้ากากใบนั้น มันเต็มไปด้วยความเศร้า... เหงา... โดดเดี่ยว... และมันคงเป็นเพราะเหตุนี้ด้วยล่ะมั้ง... ที่ทำให้ผม... เด็กผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง... (ที่จับพลัดจับผลูมาเป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์เพราะถูกเพื่อนลาก) ให้ความสนใจในตัวของเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นพิเศษ

           ทุกๆ วันผมจะรีบเร่งทำกิจกรรมต่างๆ ให้เสร็จ ก่อนจะหลบออกมาที่ห้องสมุดพร้อมกับเฝ้าคอยเด็กหญิงตัวเล็กๆ ใบหน้าใสๆ อย่างใจจดใจจ่อ ในตอนนั้นผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองสักเท่าไหร่หรอกนะครับ ว่าทำไมผมถึงต้องระริกระรี้อยากเจอเธอมากมายถึงขนาดนี้

           ความที่เป็นคนคุ้นหน้ากัน ทำให้ไม่ยากที่ผมจะถือโอกาสเข้าไปตีสนิทกับเธอ และผมก็ได้รับรู้ว่าในบางมุมของผู้หญิงเย็นชาของเธอนั้น ก็มีส่วนที่น่ารัก...อ่อนโยนอยู่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ ผมเดินเข้าไปนั่งอ่านหนังสือกับเธอทุกวัน บางครั้งก็ไปนั่งชวนคุยจนเธอไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ (แอบเลวนะครับเนี่ย ขัดขวางความเจริญของเพื่อน = =;;) แม้เธอจะทำหน้ารำคาญผมแค่ไหนแต่ผมก็ไม่เคยย่อท้อ ยังคงคอยกวนประสาท กวนใจเธออยู่เสมอ ไม่นานนัก... ก็เหมือนว่าเธอจะเริ่มเปิดใจรับผม ผมเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของเธอ เธอยิ้มง่ายขึ้น เลิกทำท่าขับไล่ไสส่งผม หัวเราะอย่างสดใสกับเรื่องที่ผมเล่า ผมชอบครับ... ผมชอบมองรอยยิ้มของเธอ

           แต่แล้ววันหนึ่งเรื่องราวเลวร้ายก็เกิดขึ้นกับชีวิตของผม โรงพยาบาลโทรศัพท์มาบอกผมว่าพ่อกับแม่ของผมประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ผมเสียใจมาก... ความรู้สึกสูญเสียได้กัดกร่อนจิตใจผมจนขับไล่ความคิดคำนึงถึงเพื่อนตัวน้อยๆ ของผมไปเสียจนหมดสิ้น

           หลังจากจบพิธีศพของพ่อกับแม่ คุณน้าของผมซึ่งเป็นญาติคนเดียวของผมที่เหลืออยู่ จึงได้มารับตัวผมไปอุปการะและพาไปอยู่กับเธอที่เยอรมันทันทีจนผมไม่มีเวลาแม้แต่จะล่ำลาใคร ตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่เยอรมัน... ถึงแม้ว่าผู้คนที่นี่จะต้อนรับและให้ความรู้สึกอบอุ่นกับผมมากมายเพียงไร แต่ผมก็รู้สึกราวกับว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไปจากชีวิต รอยยิ้มสวยๆ ของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ผมได้เห็นเป็นประจำคอยเข้ามาหลอกหลอนอยู่ในความฝันของผมอยู่เสมอๆ ตอนนี้เธอจะเป็นอย่างไรบ้างนะ... เจ้าหญิงน้อย... เธอจะมีเพื่อนบ้างหรือเปล่า... เธอลืมผมไปแล้วหรือยัง... ผมอยากบอกกับเธอครับ... ผมคิดถึงเธอ...

      กาลเวลาล่วงเลยมาแปดปี เวลานี้ผมได้กลับมาเหยียบที่ผืนแผ่นดินบ้านเกิดอีกครั้ง สิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทำให้ภาพของเด็กหญิงตัวเล็กกลายเป็นเพียงแค่ตะกอนในความทรงจำของผม ผมเคยคิดที่จะตามหาเธอ... เคยแม้แต่จะกลับไปยังโรงเรียนเก่า ไปเปิดหนังสือรุ่นเพื่อหาเบอร์โทรศัพท์ติดต่อของเธอ แต่ก็ต้องท้อใจเมื่อพบว่าเธอ... เด็กผู้หญิงคนนั้นย้ายบ้านไปเรียบร้อยแล้ว ผมไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน... ไม่รู้... แม้กระทั่งว่าเธอลืมผมไปแล้วหรือยัง ลืม...เด็กผู้ชายธรรมดาๆ คนนี้ที่ได้เคยผ่านเข้าไปในชีวิตของเธอแล้วหรือยัง

           ผมใช้เกรดของยูที่โน่นโอนหน่วยกิตเข้ามาที่มหาวิทยาลัยในประเทศไทย ไม่นานนักผมก็ได้รู้จักกับพี่ไมล์...ผู้ชายแสนเฮฮาที่เป็นเพื่อนสนิทของคริส... เพื่อนสนิทของผมที่เยอรมัน พี่ไมล์มีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง เธอชื่อมูน มูนเป็นคนน่ารัก ท่าทางร่าเริงของเธอบวกกับดวงตากลมแป๋วแหววทำให้ผมรู้สึกเอ็นดูเธอมากราวกับเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่ง

           วันหนึ่ง... มูนได้เผลอวางกระเป๋าสตางค์ไว้บนโต๊ะที่บ้าน ผมจึงถือวิสาสะเปิดดูอย่างอยากรู้อยากเห็น (ผมไม่ได้เจือกนะคร้าบบ) และผมก็ได้พบเธอ... เด็กผู้หญิงที่ผมตามหา... คนที่ผมรอคอยมาตลอด...

           ผมรบเร้าให้มูนพาผมไปเจอเธอ... ไปเจอเด็กผู้หญิงคนนั้น มูนทำท่ารำคาญผมเล็กน้อยก่อนที่จะใจอ่อนกับความช่างตื๊อของผม ผมยังจำได้ดีถึงคำพูดของเธอตอนก่อนที่เธอจะพาผมลงจากรถเพื่อไปเจอแกล... เธอบอกกับผมว่า

      เผื่อใจไว้บ้างก็ดีนะอาร์ แกลไม่เคยสนใจใคร ไม่เคยแคร์ความรู้สึกใคร มูนไม่อยากให้อาร์ตั้งความหวังอะไรไว้มากนะ เดี๋ยวจะเสียใจเปล่าๆ

      ผมยิ้มบางๆ รับคำเตือนของเธอ รู้สึกหวาดหวั่นในอก... ถ้าเธอไม่ยอมรับผม... ถ้าเธอไล่ผม... ผมจะทำยังไงดี

      มูนพาผมเดินมายังที่ที่เธอนัดกับเพื่อนไว้ ร่างบางที่นั่งคัดลอกงานอยู่ตรงหน้าตรึงตราตรึงใจของผมอย่างประหลาด...

      ผมก้าวเข้ามานั่งตรงข้ามเธอ... ดูเธอจะไม่รับรู้เลยสักนิดว่ามีคนมานั่งมองอยู่ตรงข้าม ผมเห็นเธอมุ่นคิ้วน้อยๆ เมื่อเห็นยางลบตกลงไปที่พื้น เธอก้มลงเก็บมัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมช้าๆ

      ทันทีที่เราสบตากัน... ผมก็ได้รับรู้ว่า... เธอลืมผมไปแล้วอย่างสิ้นเชิง!!

      เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้นได้เปลี่ยนไปกลายเป็นหญิงสาวสวย ใบหน้ารูปไข่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีดำสนิทยาวสยายลงมาถึงกลางหลัง ผิวขาวอมชมพู ริมฝีปากนุ่มเนียนเป็นสีชมพูเรื่อๆ อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ที่สำคัญ... ที่เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าเธอไม่มีผมอยู่ในความทรงจำอีกต่อไปแล้ว... ก็คือดวงตาของเธอ... ดวงตาสีเทาควันบุหรี่ที่ให้ความรู้สึกว่างเปล่า...เหน็บหนาวยามเธอมองมาทางผม...

      ผมรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่เธอจำผมไม่ได้ แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม แค่ได้นั่งมองเธอ... แค่ได้พบเธออีกครั้ง... ผมก็มีความสุขมากมายแล้ว

      แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างผม เมื่อผมบังเอิญอยู่ทำรายงานกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยจนดึกดื่นในเย็นวันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันฝนตก... กว่าที่งานจะเสร็จสมบูรณ์ก็เป็นเวลาประมาณสามทุ่มกว่าๆ ผมเดินออกมาที่ลานจอดรถก่อนจะขับออกไปยังประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัย แต่ระหว่างนั้นเอง... แสงไฟหน้ารถสอดส่องให้เห็นร่างคุ้นตาของหญิงสาวคนหนึ่ง ผมมองไปและก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเป็นแกล

      ใจผมรุ่มร้อนด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นร่างกายเธอเปียกปอนไปด้วยหยาดฝน และเมื่อรับรู้ว่าเธอต้องกลับคนเดียวผมจึงอาสาเป็นคนไปส่งเธอ แต่ดูเหมือนวิธีการแสดงออกของผมมันจะรุนแรงเกินไปหน่อย... เพราะเธอแสดงออกมาทันทีว่าเธอไม่ไว้ใจผม

      ผมต้องแอบยิ้มเมื่อได้รู้ว่าเธอจำผมไม่ได้... ก็นะ... หลังจากวันนั้นที่ผมเจอกับเธอ... ผมก็ไปหลอกถามข้อมูลของเธอจากมูนมาเป็นประจำ ผมได้รู้ว่าเธอเป็นคนขี้ลืม (มาก) โดยเฉพาะเรื่องการจำคน... แกลจำใครไม่เคยได้เลย แม้แต่แบงค์...เสือผู้หญิงประจำคณะวิศวะที่คอยมาก้อร่อก้อติกเธอ... แกลก็จำไม่ได้

      ผมได้ขับรถไปส่งเธอที่คอนโดฯ ชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งเป็นคนมาเปิดประตูให้ ผมมองเขาด้วยความหงุดหงิดทันทีที่เขาคว้าตัวเธอเข้าไปกอด ผมไม่รู้ตัวว่าผมแสดงอาการอะไรออกไปบ้าง รู้ตัวอีกที...ก็ตอนที่ผมได้ยินเธอบอกว่าผู้ชายคนนั้น...เป็นพี่ชายของเธอ

      มิตรภาพระหว่างผู้ชายเกิดขึ้นได้รวดเร็วอยู่แล้ว พอผมรู้ว่าผู้ชายนัยน์ตาสีเทาเข้มคนนั้นไม่ใช่ศัตรูหัวใจของผม ก็ไม่ยากที่ผมจะทำความรู้จักสนิทสนม อชิทำให้ผมได้รู้จักอีกด้านหนึ่งของเธอ ด้านง้องแง้งที่บ่งบอกว่าเธอยังมีความเป็นมนุษย์เหลืออยู่บ้าง (โอ๊ยยย... ทุบผมอีกแล้วน้า) ไม่ได้ดูเป็นหุ่นยนต์จนเกินไปนัก

      ยังไม่ทันจะกินข้าวเสร็จดี มูน... น้องสาวร่วมโลกจอมป่วนของผมก็โทร.มาหา ผมหน้าซีดเมื่อได้เห็นชื่อของเธอโชว์อยู่บนมือถือ ก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ... พอดีวันนี้ไอ้พี่ไมล์ออกไปเดตกับสาว ทิ้งมูนไว้ให้อยู่ทานข้าวคนเดียว และด้วยความเป็นคนดีของผม (อย่าเพิ่งหมั่นไส้ผมกันสิคร้าบ) ก็เลยรับปากว่าจะไปทานข้าวเย็นเป็นเพื่อนเธอ แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กันแหละครับ... ผมลืม!!!

      ความกลัวว่าน้องสาวที่น่ารักจะโกรธ ทำให้คำพูดคำจาของผมอ่อนหวานกว่าปกติ และเมื่อผมคุยโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว ผมก็ได้กลับเข้ามาที่ห้องอาหาร แต่แล้วผมก็ต้องแปลกใจ เมื่อเธอ...เข้านอนไปแล้วโดยอ้างว่าไม่สบาย

      ผมพยายามเคาะประตูอยู่หลายรอบ แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่ยอมมาเปิดประตูให้ผม จนในที่สุดผมจึงต้องยอมแพ้ล่าถอยกลับไปเงียบๆ

      วันต่อมา... ผมเดินเข้ามาในโรงอาหารกลางกับเพื่อนๆ ผมยิ้มกว้างเมื่อเห็นร่างบางในดวงใจยืนเข้าคิวอยู่ที่ร้านขายก๋วยเตี๋ยว ผมก้าวยาวๆ เข้าไปหวังว่าจะไปไต่ถามอาการป่วยของเธอ แต่แล้วคำพูดของยัยบ้าสองคนก็ทำให้ผมชะงัก... ทุกคำที่พวกเธอกล่าวเรียกอารมณ์โมโหของผมให้พุ่งสูงปรี๊ดจนผมแทบจะอยากบีบคอพวกเธอให้แหลกคามือ (อ๊ากกก... ทำไมผมถึงได้โหดอย่างนี้นะ) แต่แรงยุดจากข้อมือบางๆ พร้อมทั้งคำขอร้องจากใบหน้าที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำตาก็ทำให้ผมใจอ่อนยวบ ผมเอื้อมมือไปจับมือของเธอไว้แน่น ก่อนจะปรายตาเย็นเยียบไปมองยัยบ้าสองคนนั่นจนพวกหล่อนสั่นสะท้าน เผลอเอ่ยคำผรุสวาทรุนแรงที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ใช้ไปด้วยความเจ็บแค้น

      ผมพาแกลมานั่งที่ริมสระน้ำของมหาวิทยาลัย รู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นเธอดูผ่อนคลายมากขึ้น แต่ไม่นานนักใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยร่องรอยของความกังวลใจบางอย่าง ผมจึงได้ยื่นหูฟังเอ็มพีสามข้างหนึ่งไปให้ ก่อนจะเปิดเพลงเพลงหนึ่งที่ผมชอบให้เธอได้ฟัง ผมชอบ... เพราะเป็นเพลงที่มีความหมายตรงที่สุดกับเรื่องราวระหว่างผมกับเธอ

      หลังจากวันนั้นผมก็คอยเข้าไปวนเวียนใกล้ชิดในชีวิตของเธอ ผมเห็นรอยยิ้มของเธอมากขึ้น รอยยิ้มของเธอยังคงตรึงใจผมเช่นเดียวกับเมื่อก่อน เพียงแต่เดี๋ยวนี้... ไม่รู้ว่าทำไมรอยยิ้มของเธอจึกมักฉาบไปด้วยความเศร้า ดวงตาของเธอจึงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ผมอยากจะถามเธอ... อยากจะช่วยแบ่งเบาความกังวลของเธอเหลือเกิน...

      จนกระทั่งวันหนึ่ง... เป็นวันที่ผมตัดสินใจที่จะยุติความสัมพันธ์แบบเพื่อนระหว่างผมกับเธอ ครับ... ผมตัดสินใจจะบอกรักเธอ ผมจึงได้นัดให้มูนอยู่ด้วยในฐานะแม่สื่อระหว่างผมกับแกล ด้วยความขวยเขินทำให้ผมไม่กล้ามองหน้าเธอ... แต่แล้วผมก็ต้องงุนงง เมื่อเห็นเธอเดินไปควงแขนไอ้เสือผู้หญิงแบงค์ ผมรู้สึกหงุดหงิดอย่างที่สุด เมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่เธอส่งไปให้ผู้ชายคนนั้น ผมเห็นแบงค์โอบเอวเธอเดินออกไป...ออกไปจากผมช้าๆ ความรู้สึกบางอย่างทำให้ผมตัดสินใจเดินตามเธอไป... และใจผมก็แทบแหลกสลาย... เมื่อเห็นเธอส่งมือข้างซ้ายให้เขาด้วยความเต็มใจ

      สายตาของเธอทอแววตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นผม แต่เธอก็ยังไม่ปล่อยมือจากการเกาะกุมของผู้ชายคนนั้น ผมหันหลังเดินจากไปด้วยความเสียใจ ตลอดเวลา...ผมคงคิดไปเอง มันคงสายไปแล้วใช่ไหม...ผมคงจะไม่สามารถทะลายกำแพงน้ำแข็งที่ปกคลุมหัวใจของเธอออกไปได้... ผมคงไม่สามารถทำให้เธอเปิดประตูหัวใจออกมาหาผม... อย่างที่เมื่อในอดีตผมเคยทำได้... อีกต่อไปแล้ว...

      ผมพามูนกลับมาส่งบ้านด้วยท่าทางหดหู่ โลกใบนี้ดูหมองหม่นขึ้นมาทันตาเมื่อไม่มีรอยยิ้มของเธอ...

      แต่ยังไม่ทันจะได้เข้าบ้าน... โทรศัพท์จากพี่ไมล์ก็ทำให้ผมแทบช็อก ผมสั่งให้พี่ไมล์ขับรถตามเธอไป ในขณะที่ผมรีบบึ่งรถไปตามเส้นทางที่พี่ไมล์โทร.บอกเป็นระยะๆ ด้วยความรวดเร็ว

      มือของผมกำพวงมาลัยรถแน่น... เมื่อกี้พี่ไมล์โทร.มาหาผม บอกว่าเห็นผู้หญิงหน้าตาคล้ายๆ คนในรูปของมูนเดินออกจากร้านอาหารด้วยท่าทางเมามาย เท่านั้นเองใจผมก็ร้อนรนด้วยความเป็นห่วงเธอ... ไม่อยากจะคิดเลย ว่าถ้าผมไปไม่ทัน...จะเกิดอะไรขึ้น

      ผมพยายามเหยียบคันเร่งอย่างเร็วที่สุด แต่มันก็กินเวลามากมายอยู่ดีกว่าที่ผมจะมาถึงที่โรงแรมม่านรูดนั่น พี่ไมล์รอผมอยู่แล้วด้วยสีหน้าวิตกกังวล และเมื่อผมมาถึง พวกเราทั้งสามคนก็เดินเข้าไปทันที

      ผมกับพี่ไมล์ช่วยกันพังประตูเข้าไปเมื่อพบว่ามันถูกล็อก โชคดีที่โรงแรมนี้ถูกสร้างมานานแล้ว ทำให้สภาพของประตูก็เสื่อมไปตามกาลเวลา และภาพที่ผมเห็นเบื้องหน้าก็ทำให้ผมแทบช็อก... ไอ้แบงค์... กำลังขึ้นคร่อมผู้หญิงของผมที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ใบหน้างามเปื้อนเปรอะไปด้วยรอยน้ำตาด้วยความหวาดกลัว ริมฝีปากบางเอ่ยเรียกเป็นชื่อของผม...

      ผมแทบจะควบคุมสติตัวเองไม่อยู่ รู้สึกตัวอีกทีผมก็อัดแบงค์ไปจนสลบเหมือด ผมรีบปรี่เข้าไปหาเธอ และทันทีที่สายตาของผมรับภาพของเธอได้ชัด... ผมก็รั้งร่างเธอมากอดไว้แน่น หยาดน้ำคลอนัยน์ตาด้วยความสะเทือนใจ

      ผมพร่ำคำขอโทษเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า... ขอโทษ... เพราะความน้อยใจบ้าๆ ของตัวเองแท้ๆ ถึงได้ปล่อยให้เธอมากับบุคคลอันตรายถึงขนาดนี้... ถ้าเพียงแต่ตอนนั้นผมเข้าไปห้ามเธอ... บังคับเธอไม่ให้เธอมากับมัน เรื่องราวอย่างนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น

      แต่แล้วแกลก็ผลักร่างผมออกไป พร้อมกับถอยห่างราวกับรังเกียจ ผมมองเธออย่างงุนงง แต่สายตาของเธอกลับจับจ้องไปที่มูน

      “มันไม่ใช่อย่างนั้นนะมูน” เธอรีบละล่ำละลักบอกออกไป “ฉันกับอาร์ไม่ได้เป็นอะไรกันนะ”

      ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ... ผมนิ่งตะลึงไปกับคำพูดของเธอ... เธอหมายความว่ายังไง... ที่เธอบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกับผม จากเหตุการณ์ที่ผมได้ยินว่าเธอเอ่ยเรียกชื่อผมตอนที่เธอกำลังสิ้นหวังที่สุดทำให้ผมไม่เชื่อว่าเธอไม่เคยคิดอะไรกับผม

      “หมายความว่ายังไง... ที่แกลบอกว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกันน่ะ” ผมเอ่ยกับเธออย่างตัดพ้อ แต่เธอก็ทำราวกับจะไม่รับรู้การตัดพ้อของผม เธอหันมาเขย่าแขนผมอย่างร้อนรน

      “บอกมูนไปสิอาร์ ว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ว่านายไม่ได้คิดอะไรกับเรา”

      ผมมองเธอด้วยสายตาเย็นชา เธอบ้าไปแล้วรึไง... จะให้ผมบอกอย่างนั้นไปได้ยังไงกัน!

      “ไม่... เพราะมัน...ไม่ใช่ความจริงเลยสักนิด”

      “หมายความว่ายังไง”

      “เพราะเรารักแกล”

      ผมสวนออกมาทันทีที่เธอพูดจบ สายตามองนิ่งไปที่เธออย่างมั่นคงและเชื่อมั่นในคำพูดของตัวเอง เธอนิ่งอึ้งไป... นิ่งไปนานจนทำให้ผมรู้สึกกลัว แต่ในที่สุดเธอก็เปล่งคำพูดออกมา

      “นายพูดอย่างนี้ได้ยังไง” เธอเอ่ยเสียงเครือ... “นายพูดว่ารักฉัน... ต่อหน้าคนที่เป็นแฟนนายได้ยังไง!!

      ผมนิ่งอึ้ง... คำพูดของเธอวิ่งวนกลับไปกลับมาในสมองของผมอย่างช้าๆ...

      แฟน... แฟน... แฟนผม... เธอคิดว่ามูนเป็นแฟนผม!!!

      ทุกอย่างดูลงตัวพอดิบพอดี สายตาเจ็บปวดของเธอ... ท่าทีเย็นชา... รวมถึงการที่เธอเดินไปควงแขนแบงค์อย่างสนิทสนมทั้งๆ ที่ผมไม่เคยเห็นเธอจะไยดีอะไรในตัวแบงค์มาก่อนเลยแม้สักนิด

      ความโล่งใจทำให้ผมเผลอระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้... และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่ไมล์และมูนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน เธอมีท่าทีนิ่งอึ้งไปกับท่าทีของเรา ก่อนที่เราสามคนจะค่อยๆ อธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟัง

      มูนอธิบายในส่วนของเธอจบก่อนที่เธอกับพี่ไมล์จะค่อยๆ ย่องโดยที่ไม่ลืมที่จะคว้าตัวแบงค์ออกไปจากห้อง ผมไม่สนใจนักว่าพี่ไมล์จะทำอะไรกับผู้ชายพรรค์นั้น... สิ่งที่ผมสนใจมีเพียงเรื่องเดียว... ก็คือผู้หญิงตัวเล็กๆ ตรงหน้านี่

      ผมเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เธอฟัง ในตอนแรกดูเธอโกรธมากเมื่อรู้ว่าผมคืออารัณย์... ผมเพิ่งรู้ว่าเธอเจ็บปวดมากถึงขนาดนี้เมื่อผมจากไป และนั่น...คงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอปิดกั้นตัวเองจากคนอื่นมากขึ้นเป็นสองเท่า

      ครับ... นั่นแหละครับ... เรื่องราวทั้งหมดระหว่างผมกับเธอ... เรื่องราวความรักของผม... ความรักแสนบริสุทธิ์ที่ดำเนินมาถึงแปดปี... ผมคงไม่ต้องบอกหรอกนะครับว่าผมดีใจแค่ไหน... ที่ในที่สุด...ผมก็ได้เธอมาเคียงข้าง... ได้รอยยิ้มของเธอมาเป็นปลายทางของทุกอย่างในชีวิตผม...

      หัวใจของเราทั้งสองคนจะ ผูกกันอยู่เช่นนี้ตลอดไปนะแกล... เป็นเช่นนี้... ตราบนานเท่านาน

       

      วันที่เราไม่เคยย่อท้อ... วันที่เราต่างมีความฝัน

      และทำทุกๆ สิ่งด้วยหัวใจเดียวกัน เธอยังคงจำมันได้ใช่ไหม

      แต่ว่าเวลาที่ผ่านพ้นไป อาจจะทำให้ใจของใครลืมสิ่งนี้

      อยากจะมีเพลงเพลงนึงบอกเรื่องราวที่ดีๆ เตือนให้รู้

      ให้ทุกๆ ครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ก็ขอให้รู้ที่แห่งนี้ นั้นยังมีรักอยู่

      เคยเป็นยังไงในตอนนี้ขอให้รู้ ว่าจะไม่มีเปลี่ยนไป

      และทุกๆ ครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ ก็ขอให้รู้ที่ตรงนี้ ไม่ว่าจะนานเท่าไร

      เราจะมีกันและกันเป็นหนึ่งในดวงใจตลอดไป

      ...ก็เพราะหัวใจเราผูกกัน...

       

      (เพลง : หัวใจผูกกัน โดย บอย โกสิยพงษ์)

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×